แอ็กชันหัวมมีดี้ที่ไม่มีเสียงหัวเราะรวมทั้งความมันส์
นึกว่าออกฉายไปหมดแล้วเสียอีก สำหรับหนังที่โดนโรคเลื่อนมาจากตอนวัววิด-19 แพร่ระบาดหนัก แม้กระนั้นก็ยังไม่หมดครับผม ยังมีเรื่องมีราวนี้ล่ะ The Man From Toronto หนังของค่ายโซนี่ที่วางระบุฉายเดิมไว้ตั้งแต่ พ.ย. 2020 โน่นเลย และก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ท้ายที่สุดขายให้ Netflix ไปซะดีมากกว่า ซึ่งก็พึ่งจะสตรีมไม่งไปช่วงวันที่ 24 เดือนมิถุนายน นี่เอง The Man From Toronto เป็นสมญานามของมือสังหารและก็นักทรมาทรกรรมเหยื่อรีดข้อมูล รับบทบาทโดย วูดดี้ ฮาร์เรลสัน เขารับงานจากคนกลางหญิงคนเดิมมากมายว่า 20 ปี สวมบทบาทโดย เอลเล็น บาร์รับประทาน จนถึงเกิดเหตุไม่เหมือนอย่างที่คิดในวันหนึ่งเมื่อ โทรอนโตรับงานรีดข้อมูลที่ได้รับมาจากเหยื่อที่กระต๊อบข้างหลังหนึ่ง แม้กระนั้นบังเอิญที่ เท็ดดี้ แจ็กสัน รับบบทโดย เควิน ฮาร์ต เดินทางมาที่บ้านข้างหลังนี้ก่อนเนื่องจากว่ามองบ้านเลขที่ไม่ถูก รู้เรื่องว่าเป็นกระต๊อบที่เขาจะมาพักสังสรรค์วันเกิดให้เมีย ทำให้นายจ้างหลงผิดว่าเท็ดดี้เป็นโทรอนโต ร้ายยิ่งกว่านั้นไปกว่านั้น FBI บุกบ้านจุดเกิดเหตุ แม้กระนั้นนายจ้างส่งภาพของเท็ดดี้ไปให้หัวหน้าใหญ่เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วว่าบุคคลในรูปภาพนี้เป็นโทรอนโต FBI ก็เลยบังคับให้เท็ดดี้เป็นสาย ปลอมตัวเป็นโทรอนโตรับงานสม่ำเสมอจากนายจ้างเดิม เพื่อทาง FBI จะตามรวบตัวหัวหน้าใหญ่ ช่วงเวลาเดียวกันโทรอนโตตัวจริงก็ตามสืบกระทั่งรู้สึกตัวตนของเท็ดดี้ และก็แน่ใจว่าเพศชายที่ไม่ได้การได้ราวอย่างเท็ดดี้จำต้องทำแนวทางเหลวหมดรูปแน่ ก็เลยตามไปในกระทำการที่ 2 เพื่อปรารถนาเผยตัวตนแล้วก็ทวงงานคืน รวมทั้งชี้ให้เห็นว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังการว่าว่าจ้างคราวนี้เป็นกลยุทธ์ใหญ่ระดับประเทศ ถ้าเกิดทั้งสองปลดปล่อยให้บอสใหญ่ประพฤติตามแผนเสร็จจะมีผู้คนเสียชีวิตจำนวนไม่ใช่น้อย
เควิน ฮาร์ต และก็ แพทริก ฮิวส์ ผู้กำกับ
จะว่าไป หนังแนวจับคู่ คนหนึ่งบู๊คนหนึ่งฮาอย่างงี้ไม่เคยห่างหายไปจากฮอลลีวูดเลย เรื่องเด่นๆที่พอเพียงจำกันได้ก็มี 48 Hrs (1982), Bad Boys (1995), Rush Hour (1998), Shanghai Noon (2000), Cop Out (2000),The Nice Guys (2016), Central Intelligence (2016) แล้วก็กระทั่งเพศผู้ควบคุม แพทริก ฮิวส์ (Patrick Hughes) เองก็พึ่งจะผ่านหนังแนวคู่ซี้อย่าง The Hitman’s Bodyguard ที่พึ่งจะมีภาค 2 ออกมาเมื่อปีที่ผ่านมานี่เอง ก็อาจจะเป็นต้นเหตุให้เขาเป็นตัวเลือกให้รับหน้าที่ควบคุมประเด็นนี้กะละมังถ้าหากตรึกตรองกันที่รายละเอียดแล้ว หนังสามารถไปได้ในแนวแอ็กชันเอาจริงเอาจัง เนื่องจากว่ากันด้วยเรื่องของโลกมือสังหาร ให้โทรอนโตมือสังหารมือโปรจะต้องมาพบกับคนร้ายบิ๊กเบิ้มที่มีแผนร้ายระดับนานาชาติ ทำให้เขากลับใจมายับยั้งกลยุทธ์ คนกลางก็เลยจะต้องส่งมือสังหารอีกผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยมาตามเก็บเขาแทน แม้กระนั้นหนังเลือกที่จะมาทางคอมเมดี้ ด้วยการให้มือสังหารจำต้องจับคู่กับยูทูบเบอร์ที่ไม่เคยประสบผลสำเร็จอะไรสักอย่าง ออกมาเป็นภาพที่พวกเราคุ้นหน้ากันอย่างดีเยี่ยม ข้างหนึ่งไม่ค่อยพูดต่อยหนัก ใบหน้าเครียดตลอดระยะเวลา อีกข้างเป็นชายหนุ่มร่างเล็กโมโหง่ายบอกไม่หยุด ซึ่งก็ได้ เควิน ฮาร์ต (Kevin Hart) ดาราหนังผิวดำที่ถนัดมากมายๆกับบทแบบงี้ เรียกว่าบทเดิมเลยก็ได้ที่เขาแสดงร่วมกับ ดเวย์น จอห์นสัน ใน Central Intelligence
เมื่อหนังถูกตีกรอบให้อยู่ในเส้นทางคอมเมดี้แล้วก็มีเรต PG-13 จำกัดอยู่ หนังก็เลยไม่มีภาพร้ายแรงให้มองเห็นและก็คำพูดที่ไม่สุภาพให้ได้ยิน พอเพียงมีฉากร้ายแรง หนังก็จะตัดภาพหรือให้มองเพียงแค่สีหน้าท่าทางผู้แสดงเท่านั้นพอเพียง หากแม้โทรอนโตผู้มีความช่ำชองสำหรับการทรมาทรกรรมรีดข้อมูลเหยื่อ แม้กระนั้นเมื่อใดก็ตามจะลงมือเหยื่อก็ใจปลาซิวคายความลับซะก่อน แล้วในที่สุดบทก็กลับบุคลิกลักษณะให้โทรอนโตกลายเป็นชายหนุ่มจิตใจดีไปซะงั้นในช่วงหลังของเรื่อง บรรดามือสังหารรายอื่นๆในเรื่อง ที่วางโตวางท่ามาเสียชั่วร้าย แม้กระนั้นก็จำเป็นต้องพบกับกฎเหล็กว่านี่เป็นหนังคอมเมดี้ ก็เลยแปลงเป็นตัวตลกกันเสียหมด เสียเชิงได้ถึงแม้กับตัวตลกเสียงดังอย่าง เท็ดดี้ แจ็กสัน โดยขาดเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ประกอบทั้งนั้นผลก็คือ The Man From Toronto เปลี่ยนเป็นหนังที่ให้รสจืดชืดสนิท ไปได้ไม่สุดอีกทั้งแอ็กชันรวมทั้งคอมเมดี้ ฉากแอ็กชันก็มิได้เชิญลุ้นเอาใจช่วย เนื่องจากว่าคนร้ายแต่ละคนก็มองช่างไม่มีพิษสง มีดีหน่อยก็ The Man From Miami ที่ปูทางมาดูโหดเหี้ยมมีฉากแอ็กชันยาวๆให้โชว์ และก็ถือได้ว่าเป็นฉากที่ยอดเยี่ยมในหนังแล้วล่ะ แม้กระนั้นบทจบของไมอามี่ก็ตามงั่งสิ้นดี ฉากจุดสำคัญด้านหลังเรื่องดูเล่นใหญ่ใส่ระเบิดตูมตามแถมเล่นวิธีสุดคลาสสิกให้ผู้แสดงวิ่งแบบสโลว์โมชันก็มองแบบผ่านๆไปไร้อารมณ์ร่วม หันมามองพาร์ตคอมเมดี้ของหนัง ด้วยความยาว 1 ชั่วโมง 50 นาที หนังกระหน่ำยิงมุกถี่ อีกทั้งด้วยการแสดงแบบตั้งอกตั้งใจเอาฮาของ เควิน ฮาร์ต รวมทั้งบทสำหรับพูดที่ออกมาจากปากของเขาที่ล้วนทำเป็นแค่เพียงรอยยิ้มมุมปากระหว่างดูเพียงแค่นั้น ไม่มีมุกไหนเลยซึ่งสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้เสร็จ
Man From Miami คนร้ายตัวฉกาจที่ดูเหมือนจะเพิ่มสีสันให้เรื่องได้
ฉากที่น่าพึงพอใจสุดเปลี่ยนไปเป็นฉากดราม่าเพียงแค่ส่วนเล็กๆที่แทรกอยู่ในหนัง เมื่อโทรอนโตและก็เท็ดดี้ได้เสวนาเปิดใจกัน ทำให้โทรอนโตได้เผยด้านซอฟต์ของตนเองออกมา แล้วก็ฉากที่ได้พบกับแอน สาวสวยที่เข้าพบโทรอนโตจนถึงทำให้มือสังหารอย่างเขามองเป็นชายหนุ่มนุ่มแล้วก็ประหม่าได้ มองจบแล้วกระปรี้กระเปร่าจิตใจไปกับ เจสัน สตาแธม (Jason Statham) ที่มาเถียงกับผู้อำนวยการผลิตแล้วโบกไม้โบกมือลาโปรเจกต์ก่อนถ่ายทำไปเพียงแค่ 6 อาทิตย์ คณะทำงานก็เลยรีบติดต่อ วูดดี้ ฮาร์เรลสัน ให้มาแทงบทแทน ซึ่งก็จะต้องพูดว่าฮาร์เรลสันมองเหมาะสมดีกับบทมือสังหารสายชั่วร้าย แม้ว่าจะเข้าวัยเลข 6 แล้ว พี่เอ็งก็ยังมองชายหนุ่มกว่าวัย ดูแลหุ่นดี เล่นฉากบู๊ได้กระฉับกระเฉง เพียงแต่ว่าประเด็นนี้น่าจะเป็นผลงานด้านลบในเครดิตของพี่วูดดี้ซะมากยิ่งกว่า ส่วน เควิน ฮาร์ต นั้นไม่มีอะไรให้เอ๋ยถึง เพราะว่าได้บทเดิมๆที่คุ้นหน้าผู้ชม