[รีวิวหนัง] เดินหน้าด้วยความคิดใช้ความสนุกแค่นิดหน่อย
เรื่องย่อ: สไปเดอร์เฮดเป็นสถานที่จองจำเอกชนซึ่งทำข้อตกลงกับคุกรัฐบาลสำหรับการนำผู้ต้องขังคดีอุกฉกรรจ์มาทดสอบยาที่ระบุอารมณ์แบบต่างๆได้แลกเปลี่ยนกับการขอลดโทษให้พวกผู้ต้องขัง เจฟฟ์เป็นชายที่มีเงื่อนในอดีตกาลและก็อาสาสมัครเข้ามาทดสอบนี้ โดยมีหัวหน้าผู้คุมอย่างสตีฟแล้วก็ผู้ช่วยอย่างมาร์คคอยดูแลการทดสอบ หลายทีการทดสอบเอามาสู่เส้นล่อแหลมทางด้านศีลธรรม รวมทั้งบ่อยมันก็ใกล้เคียงกับการประหารด้วยเหมือนกันหนังเน็ตฟลิกซ์ประเด็นนี้นับเป็นโปรเจกต์ที่น่าดึงดูดในทางการรวมกลุ่มของผู้ผลิต ทั้งยัง โจเซฟ วัวสินสกี (Joseph Kosinski) ที่พึ่งจะส่งผลงานหนังที่ปีไปใน ‘Top Gun: Maverick’ (2022) หากแม้ตัวเขาเองจะส่งผลงานไม่กี่เรื่องแต่ว่าน่าดึงดูดว่ามักมากรับโปรเจกต์แอ็กชันไซไฟทุนสูงที่เกาะติดกับศิลปินใหญ่ๆอยู่ตลอดและก็สำหรับหนังหัวข้อนี้เป็นการนำเรื่องสั้นแนวไซไฟจิตวิทยาสยองขวัญชื่อ ‘Escape from Spiderhead’ ที่อยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อ ‘Tenth of December’ ของ จอร์จ ชอนเดอร์ส (George Saunders) มาดัดแปลงผ่านคู่ขามือเขียนบทผู้ปั้นแฟรนไชส์ ‘Deadpool’ รวมทั้ง ‘Zombieland’ รวมทั้งหนังเน็ตฟลิกซ์ ‘6 Underground’ (2019) อย่าง เรตต์ รีส (Rhett Reese) รวมทั้ง พอล เวอร์นิก (Paul Wernick) ซึ่งพวกเราก็แอบหวังความสะกะแด่วในบทเป็นต้นว่าผลงานเดิมที่เขาเคยทำมาฝั่งดารายอดนิยมยังได้ คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) หรือทวยเทพเทวดาธอร์มารับบท สตีฟ ผู้คุมการทดสอบชายหนุ่มมากมายเสน่ห์แล้วก็ลึกลับ ดังนี้เฮมส์เวิร์ธเองยังควบตำแหน่งผู้อำนวยการผลิตร่วมของหนังด้วย เป็นอีกประเด็นที่มองเห็นได้ว่าเฮมส์เวิร์ธตั้งมั่นพรีเซ็นท์ผู้แสดงนี้ไม่น้อยทีเดียว ฝั่งผู้แสดงที่จำเป็นต้องมาตามติดหามเรื่องไปร่วมกัน อย่างผู้แสดงเจฟฟ์ก็ได้ดารามากมายความสามารถบริเวณใบหน้าซื่อสลดอย่าง ไมล์ส เทลเลอร์ (Miles Teller) มารับบทเมื่อมองจากส่วนประกอบที่ว่ามาก็เลยเป็นหนังที่เน็ตฟลิกซ์ก็แม่น้ำคงคาดหวังการบรรลุผลอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าสิ่งที่คือปัญหาอย่างหนึ่งเป็นคู่ซี้มือเขียนบท ที่แม้ว่าจะเคยมีงานสยองขวัญในยานอวกาศอย่าง ‘Life’ (2017) มาบ้าง แต่ว่าก็กล่าวได้ว่าความเด่นของพวกเขามิได้เหมาะสมกับหนังที่ฉากพื้นที่จำกัด นักแสดงไม่กี่ตัว รวมทั้งประเด็นจิตวิทยาแบบพวกเรื่องสั้นนัก ยิ่งแทบจะไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความเฮฮาในเรื่องเลยด้วยนี้ยิ่งรู้สึกเสียดายความเฮฮาสายปั่นของทั้งสองเป็นอย่างมาก
หนังเป็นการเล่าความนึกคิดของผู้แสดงเจฟฟ์ที่ตกอยู่สำหรับเพื่อการทดสอบหนึ่งซึ่งมีความแปลกประหลาดหลายประเภทเหมือนการทดสอบด้านจิตวิทยาในตำราเรียนที่พวกเราเคยผ่านตามา ผู้ถูกทดลองจำเป็นต้องเลือกวินิจฉัยโชคชะตาของคนอื่น โดยมีตัวแปรเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการให้ยาที่เทียบไปว่าอารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่แสดงออกมาก็ได้ผลจากสารเคมีที่สมองหลั่ง แล้วตัวตนหรือความตั้งใจอิสระของพวกเราจะมีอยู่ใช่หรือไม่ถ้าเกิดพวกเราเป็นเพียงแค่ข้าทาสของปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทางเคมีในสมองหนังเดินหน้าด้วยการใส่คอนเซ็ปต์แล้วก็ความนึกคิดตามแบบเรื่องสั้นของชอนเดอร์สที่เล่ามาในย่อหน้าบนอย่างซื่อสัตย์สุจริตจนกระทั่งขาดลูกเล่นยั่วยวนใจในแบบหนัง รวมทั้งที่ห่วยไปกว่านั้นเป็นเลือกแปลงตอนสุดท้ายของเรื่องสั้น (ซึ่งในหนังเป็นฉากการทดสอบของนักแสดงหญิงคนหนึ่งที่มาถึงครึ่งเรื่องพอดิบพอดี) ให้ต่อขยายออกไปอีกและก็อุตสาหะสร้างข้อสรุปใหม่ ให้ผันแปรจากหนังดราม่าไซไฟที่เข้มข้นด้วยจิตวิทยาแล้วก็การตั้งปัญหาเชิงปรัชญา ไปสู่หนังแอ็กชันธริลเลอร์ที่แข็งทื่อรวมทั้งขาดความเฉียบคมไปแทนพวกเราไม่มีปัญหากับการแสดงของอีกทั้งเฮมเวิร์ธที่เพียรพยายามไปกับบทที่ไม่ค่อยส่งเขานัก รวมทั้งชื่นชอบการถ่ายทอดของเทลเลอร์ที่หามหนังไปด้วยได้แม้ว่าจะมิได้คิดว่าเป็นบทที่ท้าอะไรเขาเช่นเดียวกัน ทำนองว่าเขาก็เล่นเป็นตัวเองไปได้เลย ด้วยเหตุผลดังกล่าวปัญหาที่หนังเป็นก็เลยมาจากแนวทางการนำเสนอที่อุตส่าห์เลือกต้นธาราชั้นเลิศมาจากเรื่องสั้นที่เด่นสำหรับในการเสนอเชิงลึก แม้กระนั้นผู้กำกับกับนักเขียนบทดันต้องการจะเล่าในแบบหนังตลาดซึ่งมันไม่สมควรเอาการสั้นนี้มาทำแต่ก่อนมากยิ่งกว่า เปรียบเทียบไปราวกับหากมีผู้ใดกันต้องการรีเมก ‘2001: A Space Odyssey’ แม้กระนั้นมีปัญหาเสนอว่าขอให้สนุกสนานแบบหนังมาร์เวลให้ขายกล้วยๆปริศนาเป็นแล้วจะไปรีเมกงานปรัชญาอย่างงั้นเพราะอะไรตั้งแต่แรก คิดบทใหม่และก็แบบอย่างการนำเสนอใหม่เองเลยดีมากยิ่งกว่าไหมฉากบทสำหรับพูดที่แม้เขียนได้คมคายจะเป็นการเสนอมุมมองปรัชญาหรือเพิ่มจุดกระตุกคิดได้น่าดึงดูดมากมาย แต่หนังก็ไม่มีอะไรเท่าไรนักหรือหากจะต้องการทำหนังมองบันเทิงใจมีกระตุ้นความนึกคิดหน่อยก็ควรจะมองสนุกสนานจริงๆไม่ใช่พรีเซ็นท์แบบบทพอเป็นพิธีอย่างนี้ อย่างฉากที่ผู้แสดงนำจะต้องหนีแล้วมาพบผู้ต้องขังจอมตะกละตะกลามถืออาวุธมาขวาง ก็แค่สนทนาว่าห้องเก็บของกินอยู่ทางไหนและสิ้นสุดกันไป
นี่เป็นความรู้สึกที่พวกเรามีต่อหนังเรื่อง ‘Spiderhead’ มันมองเต็มไปด้วยความนึกคิดแต่ว่าในที่สุดไม่หนักแน่นพอที่จะเดินไปสุดหนทางนั้น หากแม้เพียงแค่ความสลดใจสยองขวัญสั่นประสาทหรือความมืดดำในจิตใจมนุษย์มันก็ไม่กล้าจะแตะต้อง ภูมิหลังของผู้แสดงที่คอยการเฉลยคำตอบมาอีกทั้งเรื่องว่าจะดาร์กแค่ไหน แต่ว่าเพียงพอทราบก็..แล้วยังไงนะ เป็นหนังที่น้อยลงดูแล้วสิ้นสุดกันไปอย่างที่เชื่อว่าสายตาว่ารายนามกลุ่มสร้างเป็นคนไหนกันบ้าง