เรื่องราวชีวิตหลากมุมมองที่บางทีอาจไม่เคยทราบ ของผู้แสดงชายหนุ่มสุดล้ำโลก
อย่างที่เข้าใจดีว่า ช่วงนี้ ‘เอซรา ไม่ลเลอร์’ (Ezra Miller) ดาราหนังชายหนุ่มอเมริกันมากมายความสามารถวัย 29 ปี ผู้ครอบครองบท ‘กางร์รี อัลเลน’ (Barry Allen) หรือเดอะ แฟลช (The Flash) ซูเปอร์ฮีโรความเร็วสูงที่จักรวาล DC แล้วก็ ‘ครีเดนซ์ กางร์โบน’ (Credence Barebone) จากแฟรนไชส์ภาพยนตร์คาถา ‘Fantastic Beasts’ ได้ถูกถอดออกมาจากแผนของ DC (รวมทั้งคงจะรวมทั้ง ‘Fantastic Beasts’ ด้วย) เป็นที่เป็นระเบียบแล้ว จากความกล้าหาญปั่นป่วนๆที่เขาก่อไว้แบบไม่มีหยุดหย่อนยาน แล้วก็ความประพฤติแปลกๆของเขา ที่ดูท่าปัจจุบันนี้เจ้าตัวจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้วจากเด็กติดอ่าง สู่นักร้องโอเปราวัยเยาว์ ชายหนุ่มเขินอายที่จำต้องพบเจอกับความสับสน จนกระทั่งระยะเวลาที่การ Come Out รวมทั้งทางการเป็นดาราภาพยนตร์ที่เฉิดฉันในแวดวงภาพยนตร์นอกกระแส แล้วก็ส่งประกายจนได้เปลี่ยนเป็นผู้แสดงภาพยนตร์แฟรนไชส์สุดยอดถึง 2 เรื่อง นี่เป็น 12 เรื่องราวในชีวิตของเขาที่มิได้มีแม้กระนั้นข่าวสารฉาวรวมทั้งเรื่องป่วนปั่นๆเพียงแค่นั้น แต่ว่าดาราชายหนุ่มสุดล้ำโลกรวมทั้งสะดุดตาคนนี้ก็ยังมีอะไรที่น่าดึงดูดไม่แพ้กัน
‘เอซรา แมทธิว ไม่ลเลอร์’ (Ezra Matthew Miller) กำเนิดตอนวันที่ 30 เดือนกันยายน 1992 ที่เมืองวิกกอฟฟ์ (Wyckoff) เมืองนิวพบร์ซีย์ (New Jersey) อเมริกา เขาเป็นลูกชายคนสุดท้องร่วมกับพี่สาวอีก 2 คนเป็น ‘ไซยา’ (Saiya Miller) รวมทั้ง ‘แคธลิน’ (Caitlin Miller) ในครอบครัวที่มีบิดา ‘โรเบิร์ต เอส ไม่ลเลอร์’ (Robert S. Miller) เป็นกรรมการผู้จัดการของสถานที่พิมพ์ ‘Hyperion Books’ (ตอนนี้เปลี่ยนแปลงชื่อเป็น Hachette Books) และก็ที่ Workman Publishing ในตอนนี้ ส่วนแม่ ‘มาร์ธา ไม่ลเลอร์’ (Martha Miller) เป็นนักเต้น และก็อาจารย์สอนเต้นแนวโมเดิร์นแดนซ์ (Modern Dance)ตัวของไม่ลเลอร์เองมีความประสมประสานหลายเชื้อชาติเข้าด้วยกัน เพราะบิดาของเขามีเชื้อสายชาวยิวอัชเกนัซ (Ashkenazi Jews) หรือคนยิวย้ายถิ่นจากเยอรมนี รัสเซีย รวมทั้งออสเตรีย ส่วนแม่ของเขามีเชื้อสายเยอรมันรวมทั้งดัชต์ ไม่ลเลอร์ก็เลยเลือกที่จะเจาะจงตัวเองว่าเป็นชาวยิว ตามเชื้อสายจากฝั่งบิดาของเขาเองไม่ลเลอร์ในวัยเด็กเติบโตมาด้วยความรู้สึกที่มักมีความรู้สึกว่าตัวเขาเองมีความแปลกแปลกอยู่ตลอด เขาชอบคิดว่าตัวเขาเองมีอะไรที่ผิดแผกแตกต่างออกไปจากเด็กคนอื่นแม้กระนั้นโชคดีตรงที่ เวลาเขาได้เล่นกับพี่สาวทั้งคู่คน เขาจะได้โอกาสได้ปล่อยความคิดริเริ่มของเขาผ่านการเล่นเสริมสวย ทำผม ทำเล็บ แต่งตัว เขาและก็พี่สาวทั้งคู่คนมีความสนิทสนมกันอย่างยิ่ง แล้วก็ครอบครัวของเขาก็นับได้ว่าเป็นครอบครัวสุดที่รักต้องการสมัครสมาน และก็สารภาพในไม่เหมือนกันของเขามาตั้งแต่ยังเด็ก
แม้กระนั้นถึงอย่างไรก็แล้วแต่ เขาเองก็ยังจะต้องพบเจอกันความแปลกแยกรวมทั้งการเช็ดกล้อเลียนตั้งแต่วัยเด็ก สิ่งแรกก็คือ เขาเกิดขึ้นมาพร้อมทั้งปัญหาเกี่ยวกับการพูดติดอ่าง จนกระทั่งทำให้เขามักโดนเพื่อนพ้องๆในสถานที่เรียนล้อแล้วก็แกล้งอยู่เป็นประจำ รวมทั้งยังจำต้องต่อกรกับความสับสน แล้วก็ปรารถนาค้นหาเพศภาวะที่จริงจริงของตนเองที่อยู่ในใจ เขาเปิดเผยว่า เคยฝันเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์หนแรกตอนอายุ 4 ขวบ แล้วก็เคยรู้สึกแอบรักเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันชายคนหนึ่งไม่ลเลอร์จำเป็นต้องต่อสู้กับการเช็ดกกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมสถาบัน กระทั่งหลายครั้งก็ทำให้เขาเกิดแนวคิดต้องการฆ่าตัวตาย แต่ว่าเขาก็เลือกที่จะทรหดอดทนกับสิ่งพวกนี้ “ผมเพียงแค่ต้องการที่จะให้เด็กหนุ่มสาวสามารถทรหดอดทนได้ในทุกเหตุการณ์ วัยรุ่นเป็นจำนวนมากเลือกที่จะยอมแล้วสิ้นชีวิตของตน แม้กระนั้นชีวิตผู้คนมันเป็นการเดินทางที่เยี่ยมจริงๆนะ มันน่าทึ่งจริงๆถ้าเกิดคุณทนกับเรื่องห่วยแตกๆได้ อย่างไรคุณก็สามารถหาวิธีเอาชีวิตรอดได้เสมอ”จากเด็กพูดติดอ่าง สู่การเป็นนักร้องโอเปราไม่ลเลอร์เติบโตมาด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นกับการพูดติดอ่างมาตั้งแต่จำความได้ ทำให้ตัวเขาเองในวัยเด็กมีปัญหาต่อการบอก ในตอนนั้นเขาจำต้องทนทรมานกับการเช็ดกสหายล้อจนกว่าเขาคิดจะฆ่าตัวตาย บิดามารดาเพียรพยายามที่จะพาเขาไปเข้ารับการบำบัดด้านการพูด แต่ว่าเขาก็รู้สึกชิงชังการบำบัดมากมายๆจนกระทั่งขนาดที่เขาบอกกับครอบครัวว่า “ผมยอมตายดีกว่าการมีคนบากบั่นจะมาฝึกซ้อมผมตลอดระยะเวลา” และยิ่งทำให้เขายิ่งติดอ่างหนักเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีก
ในวัย 6 ขวบ บิดามารดาก็เลยเลือกที่จะส่งเขาไปเข้าชั้นเรียนร้องโอเปรา การฝึกหัดควบคุมลมหายใจ ทำให้เขาสามารถเอาชนะอาการติดอ่างได้ภายในช่วงเวลา 1 ปี นอกเหนือจากนั้น เขาเองยังสามารถขับร้องโอเปราได้ 2 โทนเสียง ยิ่งกว่านั้น เขายังมีพรสวรรค์จนกระทั่งขนาดได้ไปร่วมแสดงการตะโกนโอเปรากับภาควิชา ‘Metropolitan Opera’ ภาควิชาโอเปราชื่อดังของนิวยอร์ก แล้วก็ได้ได้โอกาสร่วมแสดงโอเปราเรื่อง ‘White Raven’ ขณะที่เขาได้อายุ 8 ขวบเขาเล่าว่า แรงจูงใจที่ทำให้เขาถูกใจเรียนโอเปรา แล้วก็บากบั่นฝึกหัดจนกระทั่งหายจากอาการพูดติดอ่างก็คือครูดนตรี “ผมเริ่มร้องเนื่องจากว่าครูดนตรีชั้นอนุบาลของผม คุณถูกใจร่ายคาถาอาคมบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเพียงแต่นักแสดงตัวจริงเพียงแค่นั้นที่ทำเป็น เมื่อคุณมองเห็นเด็กคนไหนกันมีพรสวรรค์ คุณก็จะใช้ไม้กายสิทธิ์ นั้นก็คือนิ้วนี่แหละ ร่ายมนต์ไปที่เด็กคนนั้น และจากนั้นก็กล่าวว่า ‘จากนี้คุณเป็นนักแสดง’ แต่ว่าหากว่าเขาจะมีพรสวรรค์ด้านการตะโกนโอเปรา แต่ว่าในที่สุดแล้ว เขาก็ยังจะต้องพบเจอกับความแปลกแยกอยู่ดี การเป็นเด็กผู้ชายที่เรียนโอเปรานับว่าเป็นความแปลกอย่างหนึ่ง รวมถึงการที่เขาเองก็เริ่มก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ทำให้เสียงของเขาเริ่มแตก โน่นก็เลยทำให้เขาตกลงใจลาออกจากวงตั้งแต่อายุ 11 ปี ความกล้าหาญเหี้ยนๆของชายหนุ่มเขินอายถึงแม้เบื้องต้นนิสัยของเขาจะเป็นเด็กประหม่า แต่ว่าที่จริงแล้วเขาเองก็เป็นเด็กที่เรียนเก่งระดับท็อปของห้อง และก็เนื่องจากว่าเขาถูกเลี้ยงในครอบครัวที่มีความเปิดกว้าง ทำให้เขามีความอาจหาญแสดงออกในความนึกคิดรวมทั้งความศรัทธาของตนเอง จนถึงเปลี่ยนมาเป็นความกล้าหาญป่วนปั่นๆในวัยเด็ก เอาไว้บ้างเช่นกัน
เรื่องแรกก็คือ เมื่อในขณะที่เขาเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เขาได้รับการบ้านให้เอาหนังสืออ่านนอกเวลามาชี้แนะหน้าชั้นเรียนต่อหน้าต่อตาสหายๆเนื่องจากว่าเขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือเป็นทุนเดิม เขาย่อมไม่เลือกหนังสือปกติแต่ว่าเขากลับเลือกหนังสือนวนิยายสยองขวัญที่ชื่อว่า ‘Cujo’ เขียนโดย สตีเฟน คิง (Stephen King) ที่ว่าด้วยเรื่องของคูโจ หมาพันธ์ุเซนต์เบอร์ทุ่งนาร์ดที่ติดโรคโรคพิษสุนัขบ้ารวมทั้งออกก่อกวนไล่ฆ่าคนภายในเมืองแค่นี้ไม่พอ เขายังเล่นใหญ่ด้วยการซื้อหมาที่สตัฟฟ์ไว้ แล้วราดด้วยเลือดเลียนแบบ พร้อมทั้งอัดเสียงกรีดติดไว้ที่อุ้งเท้า เมื่อกดที่อุ้งเท้า ก็จะมีเสียงงร้องเสียงโหยหวนออกมา ดังที่เขารู้สึกเมื่อยามได้อ่านนิยายหัวข้อนี้ เขาแน่ใจว่าการพรีเซนต์คราวนี้จะก่อให้เขาได้รับคะแนนเต็ม แม้กระนั้นท้ายที่สุด เขาก็โดนคุณครูยึดสุนัขสตัฟฟ์ไว้เป็นการลงอาญา อาจารย์คนนั้นกล่าวกับเขาว่า “เอซรา อาจารย์จะเก็บเจ้านี่เอาไว้ในตู้นะ แล้วช่วงเวลาเย็นถึงจะเอามันกลับไปอยู่ที่บ้านได้ยินดีต้อนรับสู่ชั้นประถมเรียนนะ ไอ้เด็กแปลกความกล้าหาญแสบในวัยเด็กอีกอย่างก็คือ ในวัย 10 ขวบ เขาได้รับรู้ถึงความไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้แรงงานที่ไม่ยุติธรรม เพราะฉะนั้น เขาก็เลยแอบไปพ่นสีคำว่า “Stop Sweatshop Labor” (หยุดแรงงานเมืองนรก) ที่ร้านบูติก Gap เขาเอาชีวิตรอดมาได้ แม้กระนั้นเสมือนไม่สาแก่ใจ เขาเลยย้อนกลับไปพ่นสีอีกเป็นครั้งที่ 2 แม้กระนั้นครั้งนี้จนกระทั่งถูกจับได้สุดท้าย