งานชิ้นเอกของ ไอยู แต่ว่าโบรองๆของวัวเรเอดะ
เรื่องย่อ: ซังฮยอน เป็นเจ้าของร้านซักอบรีดรวมทั้งเป็นอาสาสมัครดำเนินงานให้โบสถ์ใกล้บ้าน ใครๆต่างก็เห็นว่าเขาเป็นคนใจบุญสุนทาน แต่ว่าลับหลังนั้นเขาและก็ป่าซู ลูกน้องคนรู้จักมักคุ้น กลับลักขโมยเด็กจากกล่องเด็กทารกของโบสถ์ (กล่องที่โบสถ์ทำไว้สำหรับให้บิดามารดานำเด็กอ่อนที่ตนไม่พร้อมอุปการะมาวางไว้) แล้วนำเด็กไปขายในตลาดมืด ทุกๆอย่างเป็นไปด้วยดีเกือบทุกครั้ง จวบจนกระทั่งมีแม่คนหนึ่งชื่อ โซยอง ที่ดันกลับใจกลับมาเอาลูกน้อยของคุณคืน ซังฮยอนรวมทั้งป่าซูก็เลยมานะชักพาให้หญิงสาวกลับใจ ในเวลาเดียวกันตำรวจสาวสองคนกำลังสะกดรอยตามกลุ่มค้าเด็กแล้วก็หมายจะเข้าจับตัวซังฮยอนให้ได้คาหนังคาเขา
ผลงานของผู้กำกับ วัวเรเอดะ ฮิโรคาสุ (Koreeda Hirokazu) ในวัย 60 ปี ที่ถ้าเป็นอาชีพอื่นก็คือวัยปลดเกษียณ แต่ว่าในฐานะนักแสดงที่ถ่ายทอดโลกอันหมองโศกสลดเขายังคงโลดแล่นได้อย่างมีมุมมองประสบการณ์ที่มากขึ้น ยิ่งก่อนนี้เขาไปถึงเป้าหมายสูงสุดด้วยการเอารางวัลปาล์มทองในปี 2018 จาก ‘Shoplifters’ ที่ตั้งปัญหากับคำว่าครอบครัวแล้วก็ความเป็นบิดามารดาที่มองต่อยอดจากหนังอย่าง ‘Like Father, Like Son’ (2013) รวมทั้งหนังก่อนหน้าของเขาได้อย่างน่าดึงดูด รวมทั้งขณะที่ใกล้กันเขาก็ล้มเหลวจากกระบวนการทำภาพยนตร์ฝรั่งเศสที่นับว่าออกมาจากเซฟโซนของตนเองอย่างยิ่งใน ‘The Truth’ (2019) ที่ถูกกล่าวถึงอย่างน้อยลงและไม่ค่อยมีผู้ใดกันแน่จำวัวเรเอดะ ฮิโรคาสุหนังเรื่อง ‘Broker’ ประเด็นนี้ก็เลยน่าดึงดูดว่าเขากลายเป็นผลึกอะไรมาจากขณะที่ว่ามาบ้าง รวมทั้งสิ่งที่ปรากฏเป็นเขาได้หวนมาทางที่อยู่มือ ด้วยกระบวนการทำหนังแนวครอบครัวที่อิงจากเค้าเรื่องจริง โดยในคราวนี้เป็นข่าวเรื่องกล่องเด็กแรกเกิด (Baby Box) ของประเทศเกาหลีใต้ที่ว่ามีโบถส์ในกรุงโซลตั้งกล่องรับเด็กแรกเกิดที่บิดามารดาไม่อาจจะอุปถัมภ์ให้มาวางทิ้งเอาไว้ได้ ซึ่งเป็นอีกข่าวสารที่มีมุมมองสะท้อนเรื่องของนิยามคำว่าครอบครัวในสังคมเดี๋ยวนี้ที่มองงงงวยแล้วก็ระทมใจได้อย่างยอดเยี่ยม รวมทั้งยังเป็นการท้าเซฟโซนของวัวเรเอดะเองอีกทีสำหรับในการดำเนินการนอกวัฒนธรรมประเทศญี่ปุ่นที่เคยชิน แต่ว่ารอบนี้เขาขอขยับมาเป็นประเทศเกาหลีที่ถึงแม้มีไม่เหมือนกันแม้กระนั้นก็ยังร่วมวัฒนธรรมแบบทวีปเอเชียทิศตะวันออกเช่นกัน ทำให้การนำเสนอออกจะอยู่หมัดรวมทั้งเป็นตัวเอง เป็นการแก้เงื่อนในใจครั้งประเทศฝรั่งเศสของเขาได้อย่างละมุนละม่อม
ปัญหาของวัวเรเอดะที่น่าดึงดูดเป็นเขาจะเล่ากล่องเด็กแรกคลอดยังไง ในเมื่อไม่กี่ปีกลายหน้ามีหนังสารคดีอย่าง ‘The Drop Box’ (2015) ของผู้กำกับอเมริกัน ไบรอัน เทตซูโร ไอวี (Brian Tetsuro Ivie) ทำหัวข้อนี้ออกมาได้อย่างน่าดึงดูดมากมายแล้ว รวมทั้งในเวลาเดียวกันประเด็นเชิงสังคมต่างๆทั้งยังแง่ดีรวมทั้งแง่ลบก็ถูกพรีเซนเทชั่นผ่านสื่อมวลชนมามากมายก่ายกองด้วยเหมือนกัน ผลเป็นวัวเรเอดะเลือกใช้ที่มาเพื่อขยายความ มาเป็นเหตุการณ์บททดลองความนึกคิดของม่าม้าคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหลายแพร่งที่ลู่ทาง เมื่อคุณตกลงใจทิ้งเด็กไปแล้วกาลครั้งหนึ่งแม้กระนั้นยังสบโอกาสเลือกใหม่อยู่เรื่อยเพียงแค่คุณและก็ผู้ชมก็ไม่รู้เรื่องว่าเวลาสำหรับเพื่อการเลือกคราวสุดท้ายจะเกิดขึ้นตอนไหน คำตอบที่เปลี่ยนเป็นคราวสุดท้ายบางทีอาจไม่ใช่โอกาสที่ยอดเยี่ยมก็ได้ก็แค่มันหมดเวลาการเลือกซะก่อน ซึ่งในหนังเป็นลักษณะการทำงานของตำรวจคู่ขาที่จำต้องปิดคดีและก็ฝั่งของสมาชิกกลุ่มอาชญากรรมที่ปรารถนาตัวทารกไปขายเหมือนกัน นี้ทำให้หนังน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น
แล้วก็ถึงแม้ว่าหนังประเด็นนี้จะมีชื่อเรื่องที่สื่อไปถึงผู้แสดงที่เป็นโบรกเกอร์หรือนักค้าเด็กแรกเกิด ที่ส่งให้การแสดงของ ซงคังโฮ (Song Kang-ho) ได้รางวัลดารานำชายเยี่ยมจากคานส์ แม้กระนั้นเอาเข้าจริงแล้วเขาปฏิบัติภารกิจเป็นภาชนะคุณภาพดีซึ่งสามารถใส่ผสมสารเคมีนานัปการในนั้นให้ทำปฏิกิริยาได้อย่างละลานตา ซึ่งก็คือการแสดงของเขาเลี้ยงดูหนังให้ผู้แสดงผู้อื่นสามารถอาละวาดทางการแสดงได้มากขึ้น ในทางเดียวกันก็จำเป็นต้องดู แบดูท้องนา (Bae Doona) ที่ปฏิบัติหน้าที่ปิดทองหลังพระฝั่งเพศหญิงได้ดีเยี่ยมที่สุดเหมือนกัน หากแม้สำหรับผู้ชมหนังทั่วๆไปอาจจะไม่ทราบสึกจุดสำคัญของทั้งสองมากเท่าไรนักในทางผู้ชมที่มองโดยปกติก็เลยไม่แปลกที่บางทีอาจตรึงใจตรึงตากับการแสดงของบทม่าม้ายังสาวอปิ้ง อีจีอึน (Lee Ji-eun) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไอยู (IU) มากมายเสียกว่า รวมทั้งคุณเองก็สามารถชุบมือเปิบที่รุ่นพี่แล้วก็ผู้กำกับจัดเตรียมพื้นที่ไว้ให้วาดลวดลายออกมาได้อย่างน่าชม ทั้งยังความไม่ค่อยสบายใจ ความขมขื่น งง แล้วก็เป็นทั้งยังความท้อแท้แล้วก็ความมุ่งมาดผ่านสายตาของนักแสดงนี้ไปยังผู้ชมได้ตลอดเรื่อง เป็นงานที่ตัวคุณเองแล้วก็แฟนๆคงจะกระหยิ่มใจมากมายกาลครั้งหนึ่ง แล้วก็คุณน่าจะเป็นผู้แทนของคำว่า Broken ที่ชื่อหนังเหมือนจะเล่นคำไปถึงไม่น้อย และก็แม้นักแสดงทั้งยังหลักและก็รับเชิญเยอะแยะจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดิบได้ดี แต่ว่าก็จำเป็นต้องเห็นด้วยว่าเนื่องจากว่าผู้กำกับอย่างวัวเรเอดะเองก็สร้างเวทีการแสดงไว้ดีเยี่ยมด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้กำกับที่มีสไตล์แจ่มกระจ่างสะดุดตาสำหรับเพื่อการสร้างฉากแล้วก็บทพูดกล่าวถึงความเกี่ยวเนื่องที่เบาๆรุกรานผู้ชมให้เสียใจแบบไม่รู้ตัว และก็มักมีรสความนิ่งแบบประเทศญี่ปุ่นแม้กระนั้นก็น่าดึงดูดว่าการได้ผู้กำกับภาพ ฮงคยองพโย (Hong Kyung-pyo) ที่ผ่านงานร่วมกับผู้กำกับประเทศเกาหลีดังๆมาหมดอีกทั้ง ‘Snowpiercer’ (2013) ‘The Wailing’ (2016) ‘Burning’ (2018) ‘Parasite’ (2019) ก็ทำให้หนังมีกลิ่นประเทศเกาหลีเข้มมากเพิ่มขึ้น รวมทั้งกำเนิดฉากที่คุ้นๆจากหนังทั้งยังฉากเปิดที่คิดถึงซอกซอยชนชั้นปรสิตในวันฝนตกน้ำหลาก หรืองานงานเลี้ยงในสวนของบ้าน ตลอดจนฉากแสงสว่างส้มย้อมมือและก็บริเวณใบหน้าของนักแสดงขณะเพ้อหลุดไปในห้วงความคิด ฯลฯ
แต่ว่าถ้าจะเอ่ยถึงในแง่สัมผัสหนังของวัวเรเอดะในแนวใกล้กันมาหลายเรื่อง จำเป็นต้องสารภาพว่านี่เป็นหนังที่กลมกล่อมละมุนละไมย่อยง่าย มีอารมณ์ขันแทรกเป็นระยะ มีค้างไม่โอที่แฟนแวดวงเพลิดเพลินประเทศเกาหลีจะต้องตื่นตาตื่นใจจากอีกทั้ง ‘Itaewon Class’ ‘Crash Landing on You’ ‘Reply 1988’ หรือ ‘The World of the Married’ และก็มีการมองโลกที่ผ่องใสขึ้น นักแสดงมีทางเลือกรวมทั้งชะตาชีวิตที่ไม่โหดร้ายทารุณนัก เรียกว่าวัวเรเอดะในวัย 60 ปี ดูใจดีกับนักแสดงและก็ผู้ชมมากขึ้นเรื่อยๆ มองเห็นความมุ่งหวังมากยิ่งกว่าเรื่องอื่นๆพอเหมาะพอควร บางครั้งก็อาจจะเหมาะสมกับการเชิญเชิญชวนผู้ชมคนใหม่ที่พอใจดราม่าแบบประเทศเกาหลีให้มารู้จะกับวัวเรเอดะ ขณะที่คนรักเก่าก็ได้แก้หิวความนึกถึงรวมทั้งได้มองเห็นความเจริญในแบบมองโลกแง่ดีอย่างใน ‘Like Father, Like Son’ เยอะขึ้น แต่ว่าส่วนตัวก็ยังนึกถึงฮุกหนักๆจุกๆใจจืดใจดำกับนักแสดงมากมายหน่อยแบบใน ‘Nobody Knows’ (2004) หรือ ‘Shoplifters’ อยู่เช่นกัน
รวมทั้งถึงแม้ว่าหนังค่อนข้างจะกลมกล่อมละมุนละไม แต่ว่าก็ยังมีบางจุดที่รู้สึกหนังชุ่ยสำหรับเพื่อการดำเนินเรื่อง ขาดความเหมือนจริงสำหรับเพื่อการทำไปบ้างในตอนหนึ่งเป็นแบบหนึ่งแม้กระนั้นอีกตอนกลับปล่อยปละละเลยไป มีท่าที่ความนึกคิดแบบทุ่งลาเวนเดอร์อยู่บ้าง ทั้งๆที่ทั้งยังเรื่องตั้งท่าโทนซีเรียสตั้งใจจริงสมจริงสมจังมาแต่แรกเริ่ม แม้กระนั้นอันนี้ก็บางทีอาจเกิดเรื่องรสนิยมและก็ความมุ่งมาดก่อนรับดูของแต่ละท่านด้วยหนังค่อนข้างจะยาวแล้วก็เบาๆผุกร่อนกำแพงหัวใจผู้ชมอย่างเรียบช้า เหมาะสมกับการดูในโรงหนังที่ช่วยเพิ่มสมาธิสำหรับเพื่อการเก็บเนื้อหา แม้ได้โอกาสก็เสนอแนะให้รีบดูซิลาโรงนะครับ