สืบต่อเรื่องราวจากที่ทิ้งท้ายเอาไว้ตั้งแต่ปี 2019 อย่างเป็นทางการรวมทั้งจริงจังอีกรอบของจักรวาลมาร์เวล แม้ว่าจะมีเหตุมาจากผลพวงในหนังสไปเดอร์แมนก่อนหน้าที่ผ่านมา
แต่ว่าทุกๆหัวข้อได้ถูกหล่อรวมเข้าไว้เปลี่ยนเป็นมหกรรมเสี่ยงอันตรายพหุจักรวาลที่ยิ่งใหญ่กว่าที่จะจินตนาการได้ และก็นี่เป็น “Doctor Strange in the Multiverse of Madness” การกลับมายิ่งใหญ่อีกรอบของ ด็อกเตอร์สเตรนจ์ที่จำเป็นต้องมารับหน้าที่โหมโรงและก็เปิดทางให้กับเฟสใหม่ที่ได้เริ่มขึ้นของจักรวาลที่นี้ และก็มากับเซอร์ไพรส์ห่างๆที่ผสมปนเปใส่เข้ามาตลอดทั้งประเด็นนี้ Marvel Studios ได้พาพวกเราไปท่องเที่ยวตามแนวความคิดพหุจักรวาล (Multiverse) หรือที่เรียกว่ามัลติเวิร์ส ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์หลักของ MCU (Marvel Cinematic Universe) เฟสที่ 4 เวลานี้
เหตุการณ์เริ่มทวีความปั่นป่วนระส่ำระสายแล้วก็ร้ายแรงเยอะขึ้นเรื่อยๆด้วยเหตุดังกล่าวเอง ด็อกเตอร์สเตรนจ์ก็เลยจำเป็นต้องขอกลับมาร่ายมนต์เพื่อปรับแต่งความบกพร่องพวกนั้นใน ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ หรือ ‘จอมเวทย์มหารอยดำ ในมัลติเวิร์สมหาภัย’อย่างที่ทราบดีว่า ด็อกเตอร์สเตรนจ์ที่เปลี่ยนมาเป็นจอมเวทใน ‘Doctor Strange’ (2016) และก็ไปโผล่ในฐานะสมาชิกอเวนเจอร์ส (Avengers) ในรูปภาพยนตร์หลายเรื่อง มาถึงในเวลานี้ หนังลำพังภาคที่ 2 ของแพทย์แปลกก็มาถึงเสียรู้ พร้อมๆกับการจับธีมมัลติเวิร์สมาเล่ากันแบบเต็มๆ
โดยไม่ต้องเล่าปูพื้นอะไรให้วุ่นวายบวกกับธีมหนังสยองขวัญที่มากับเรื่องราวของตัวแปรของ Doctor Strange รวมทั้งผู้แสดงอื่นๆที่มาจากมิติเดียวกัน แล้วก็จากต่างมิติเรื่องราวใน Doctor Strange in the Multiverse of Madness ในคราวนี้นั้น ถือเป็นการปลดล็อกพหุจักรวาลในมาร์เวล ให้ก้าวผ่านข้อจำกัดมากเพิ่มขึ้นกว่าที่เคยมีมา เดินทางไปสู่มิติที่ไม่บางทีอาจหยั่งทราบได้กับ ด็อกเตอร์สเตรนจ์ กับเพื่อนผู้มีพลังพิเศษทั้งยังหน้าเก่ารวมทั้งคนใหม่ ที่จะมาร่วมเดินทางไปในพหุจักรวาลที่แสนบิดเบี้ยวแล้วก็อันตราย ทั้งยังยังไม่คุ้นเคย เพื่อประจันหน้ากับศัตรูลึกลับในคราวนี้Doctor Strange in the Multiverse of Madness บางครั้งก็อาจจะยังไม่ใช่หนังมาร์เวลที่ดีเยี่ยมที่สุด แม้กระนั้นก็มิได้ห่วยที่สุดด้วย หนังบางทีอาจจะจัดได้ว่าอยู่ในระดับมาตรฐานทั้งโลกของหนังมาร์เวล เพราะเหตุว่าส่วนประกอบของรายละเอียดที่สัมผัสได้ถึงความบางเบา
แม้กระนั้นได้วัตถุดิบที่เอาจริงเอาจังมาใส่เสริมเข้าไว้ ก็เลยออกมาเป็นการเล่าที่น่าระทึกใจกับเค้าเรื่องที่แสนจะปกติ และก็ยิ่งได้มารวมกับจักรวาลของมาร์เวลได้แล้ว อย่างไรก็ออกมาเป็นความปังอยู่ดีภาคนี้ได้ “แซม ไรมี” กลับมาจับจับหนังวีรบุรุษอีกรอบ รวมทั้งแน่ๆว่ามาร์เวลเปิดช่องอิสระให้กับเขาได้ประดิษฐ์และก็ตกแต่งจินตนาการซูเปอร์วีรบุรุษในมุมมองของเขาได้กว้างขึ้น แล้วก็คำตอบที่ออกมานั้นจำต้องเห็นด้วยว่าเลยล่ะว่า…มันอยู่ในแนวทางที่ผิดตาจากหนังมาร์เวลทั่วๆไปอยู่แบบเดียวกัน ข่าวสารที่เคยได้ฟังมาว่า “จะเป็นหนังที่น่าสยองที่สุดของมาร์เวล” อันนั้นก็มีความคิดว่าคงจะจริง เพราะว่าหนังประเด็นนี้กล่าวโทษเขย่าขวัญและก็สยองขวัญมาเป็นลูกเล่นที่ถือว่าเป็นหนึ่งในแนวถนัดของผู้กำกับรายนี้เลย