ถือได้ว่าเป็นม้ามืดสำหรับนาทีนี้จริงๆสำหรับ Interceptor ที่มาแบบเฉยๆไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ไม่ต้องโปรโมตอะไรเลย แล้วก็ที่สำคัญหนังไม่มีจุดขายอะไรเลย ทั้งยังดาราหนังและก็ผู้กำกับ แม้กระนั้นหนังก็ขึ้นชั้น 1 ในตาราง Netflix ประเทศไทยไปได้แบบฉลุย Interceptor มีชื่อไทยกล้วยๆว่า “การสู้รบจรวดนำวิถี” เปิดเรื่องมาด้วยคำพรรณนาว่า ประเทศสหรัฐอเมริกามีฐานตรวจหาแล้วก็คุ้มครองปกป้องจรวดนำวิถีปรมาณูอยู่ 2 ที่ หน้าที่ของฐานนี้เป็น รอตรวจับจรวดนำวิถีที่มุ่งหน้ามายังสหรัฐอเมริกา และก็จะยิงจรวดนำวิถีออกไปทำลายก่อนเข้าน่านฟ้าสหรัฐอเมริกา ฐานแรกเป็น ฟอร์ตกรีลีย์ อยู่ในเมืองอะลาสก้า และก็ฐานที่ 2เป็นSBX-1 เป็นฐานที่อยู่กึ่งกลางห้วงมหาสมุทรแปซิฟิค แม้กระนั้นแล้วฟอร์ตกรีลีย์ก็โดนกรุ๊ปชายลึกลับติดอาวุธบุกโจมตีฆ่าข้าราชการกระทั่งหมดไป พร้อมด้วยออกคำชี้แจงออนไลน์ว่า พวกเขาได้เข้าชิงจรวดนำวิถีปรมาณูจากรัสเซียมาได้แล้ว 16 ลูก ตั้งจุดหมายไว้ยัง 16 เมืองของอเมริกาไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว วัตถุประสงค์ถัดไปขององค์การก่อการร้ายก็คือฐาน SBX-1 นางเอกของเรื่องเป็น กัปตัน เจ.เจ. คอลลินส์ (สวมบทบาทโดย เอลซ่า พาทากี้ (Elsa Pataky) เมียตัวจริงเสียงจริงของ คริส เฮมส์เวิร์ธ) เพิ่งจะถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่
ลุค เบรซีย์ สวมบทบาทหัวหน้าทีมคนร้าย หนังเปิดเรื่องและก็ดำเนินเรื่องอย่างเร็วฉับไว ข้างหลังแนะนำตัวนางเอกหญิงแข็งของเรื่องได้ไม่ทันไร กลุ่มชนร้ายก็เปิดตัวโดยทันที กำลังจะเริ่มกลยุทธ์บุกเข้ายึดห้องควบคุม พอดิบพอดีที่คอลลินส์ปรับปรุงเหตุการณ์ได้ทัน รีบขังตนเองแล้วก็ข้าราชการอีก 2 นายเอาไว้ในห้องควบคุม ทางกองทัพสหรัฐอเมริกา ทราบเรื่องก็รีบส่งหน่วยซีลมาสมทบ แต่ว่าจำต้องใช้เวลาเดินทางมายัง SBX-1 ถึง 90 นาที ก็เลยเป็นหน้าที่รับผิดชอบของคอลลินส์ ที่จำต้องยั้งการบุกรุกของกรุ๊ปผู้ก่อให้เกิดเหตุร้ายไว้ไม่ให้บุกเข้ามาได้ก่อนที่จะหน่วยซีลจะมาถึง ซึ่งระหว่างนี้ อเล็กซานเดอร์ เคสเซิล หัวหน้าทีมก่อให้เกิดเหตุร้ายก็เพียรพยายามหาทางบังคับให้คอลลินส์ยอมเปิดประตู ทั้งยังจับรับรองข่มขู่ฆ่า อีกทั้งเสนอเงินรางวัลก้อนโต ช่วงเวลาเดียวกันก็ส่งลูกน้องให้บุกเข้าห้องมาหนทางนั้น หนทางนี้ ทำให้หนังได้แทรกสอดฉากต่อสู้เป็นช่วงๆ
ไม่ทราบว่าข้างก่อวินาศกรรมมีอยู่กี่คนกัน มองเห็นโผล่มาให้นางเอกจัดแจงครั้งละคน ครั้งละคน ไปเรื่อยก็เห็นได้ชัดว่าหนังเน้นย้ำขายฉากต่อสู้เป็นหลัก มีการวางแบบฉากต่อสู้ที่ผ่านกรรมวิธีคิด คิดแผน ให้ใช้ทั้งยังอาวุธ มือเปล่า แล้วก็ของใช้รอบข้าง แม้กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่าเล่นกันตามคิว ซึ่งในวันนี้วิทยาการงานสตันท์ในแวดวงหนังประเทศฮ่องกงได้ถ่ายทอดไปถึงฮอลลีวูดแล้ว ฉากต่อสู้ในหนังพักหลังๆก็เลยออกมาสมจริงสมจังเอาจริงเอาจังกันอย่างยิ่ง เพียงพอเรื่องไหนทำเป็นไม่ถึง ก็เลยเห็นได้ชัด อย่างใน Interceptor นี่ก็เหมือนกัน ที่น่าเบื่อหน่ายมากมายก็คือดนตรีประกอบซึ่งอุตสาหะใบเสร็จรับเงินท์อย่างยิ่ง ดังรวมทั้งล้ำหน้าความระทึกใจของภาพในฉากนั้นๆไปๆมาๆก ดูแล้วไม่เข้ากัน ประสิทธิภาพเหมือนกับละครค่ำบ้านพวกเรา ที่มักลักขโมยดนตรีประกอบฝรั่งมาใส่แบบเวอร์วัง จะว่าไป Interceptor ก็มาในสูตรสำเร็จของหนังแอ็กชันฮอลลีวูดนะ กับการเขียนให้พระเอกต้องไปอยู่ไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลาในสถานที่ล้อม รวมทั้งเป็นสูตรที่ชอบบรรลุเป้าหมายเสียด้วย ดังเช่นใน Die hard 1, Die Hard 2, Sudden Death, Under Siege 2: Dark Territory แม้กระนั้นที่สำคัญหนังควรมีบทที่ดี รวมทั้งผู้กำกับที่มีประสบการณ์ แต่ว่ากับ Interceptor ไม่มีทั้งคู่อย่าง หนังน่าจะเป็นการปรากฏใหม่ของแวดวงภาพยนตร์เลยล่ะขอรับ ที่ผู้กำกับมาจากนักประพันธ์นวนิยาย แมทธิว ไรลีย์ (Matthew Reilly) เป็นนักเขียนนวนิยายแนวแอ็กชันคนออสเตรเลีย ที่ส่งผลงานเผยแพร่มาแล้วหลายสิบเล่ม รายละเอียดของเขาชอบมาแนวอย่างที่ว่านี่แหละ ดารานำชายของเรื่องชอบไปอยู่ไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลา จะต้องแปลงเป็นฮีโรจำเป็น
เอลซ่า พาทากี ในบทข้าราชการ เอเลนา เนเวส ใน Fast 5, Fast 6, fast 7
ปกติแล้ว หนังเรื่องไหนที่ได้ผู้ครอบครองเรื่องมามาเขียนบทภาพยนตร์เอง ชอบออกมาดี เป็นถ่ายทอดเนื้อหารายละเอียดจากงานด้านการเขียนมาได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ว่าอาจจะจำต้องนอกจาก แมทธิว ไรลีย์ ผู้นี้ไว้แล้วล่ะ เนื่องจากนักแสดงนำทั้งคู่ฝั่งอย่าง เจ.เจ. คอลลินส์ รวมทั้ง อเล็กซานเดอร์ เคสเซิล นั้นช่างแบนราบ มีการกล่าวถึงอดีตกาลของคอลลินส์พอควร ว่าคุณเคยมีเรื่องมีราวราวฉาวโฉ่ในกองทัพ เป็นเงื่อนในใจ แม้กระนั้นนี่เป็นหนังแอ็กชันแบบตั้งใจจริง ซึ่งหนังเลือกที่จะโชว์ฉากพะบู๊ของคุณมากยิ่งกว่า แม้กระนั้นหนังก็มิได้กล่าวเลยว่าเพราะเหตุใดคอลลินส์ถึงแกล้วกล้าขนาดนี้ ช่ำชองอีกทั้งการต่อสู้มือเปล่า และก็อาวุธทุกแบบอย่าง ขนาดที่ว่าสามารถฆ่าคู่ปรับที่เป็นเพศชายบึกบึนได้หมดทุกราย ส่วนเคสเซิลหัวหน้าทีมก่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่ข้อมูลเบื้องหน้าเบื้องหลังกล่าวว่า ได้แรงจูงใจมาจาก ฮานส์ กรูเบอร์ จาก Die Hard คนร้ายลำดับแรกๆของภาพยนตร์ฮอลลีวูด บทแจ้งกำเนิดของ อลัน ริคแมน ผู้เสียชีวิต แต่ว่าเคสเซิลถ่ายทอดมิได้หากแม้เพียงแต่เสี้ยวของกรูเบอร์เลย เคสเซิลไม่มีอีกทั้งไหวพริบปฏิภาณ เล่ห์กล และก็ที่สำคัญ ลุค เบรซีย์ (Luke Bracey) ก็ไม่สามารถที่จะถ่ายทอดรังสีไร้มนุษยธรรมอย่างที่ตัวร้ายจะต้องมีให้รู้สึกได้ ขนาดลูกน้องยังกล้าต่อปากหลากคำไม่มีซึ่งความเคารพเลย รวมถึงเหตุผลที่เขาลุกขึ้นยืนมาทำการระทึกโลกแบบนี้ก็ไม่ชัดแจ้ง และก็ทำไปเพื่อจุดหมายอันใด
คริส เฮมส์เวิร์ธ ผู้อำนวยการผลิต ที่โผล่มาในบทสมทบ
เชื่อแน่ว่าหาก แมทธิว ไรลีย์ คงจะสถานะตนเองไว้เพียงแค่บทภาพยนตร์ แล้วปลดปล่อยให้ผู้กำกับมือโปรมีประสบการณ์มาปฏิบัติหน้าที่ หนังจะออกมาบันเทิงใจกว่านี้แน่ๆ เนื่องจากว่าโครงเรื่องปูมาน่าดึงดูดแล้ว เลือกจับประเด็นที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อนมาเล่า แล้วหากหนังสามารถสร้างภาพลักษณ์ของตัวร้ายให้ดุ น่าสยอง กว่านี้หนังจะระทึกเข้มข้นขึ้นอีกมากมาย จุดที่น่าชื่นชอบอย่างยิ่งก็คือ เอลซา พาทากี นางเอกของเรื่องในวัย 45 ปี (แก่กว่า คริส เฮมส์เวิร์ธ 8 ปี) มองอ่อนกว่าวัยมากมาย แล้วเห็นได้ชัดว่าคุณตั้งใจกับบทนี้เป็นอย่างมาก มองได้จากผูกกล้าม มั่นใจว่าคุณจำเป็นต้องผ่านการเข้ายิมมานับร้อยชั่วโมงแน่นอน ในที่สุดคุณก็ได้หุ่นที่มองเหมาะสมกับการเป็นนางเอกนักบู๊ และก็ฉากที่ชักชวนอึ้ง อัศจรรย์ใจ เป็นอย่างมาก และก็เป็นฉากขายบนโปสเตอร์ด้วย ก็คือการโหนบาร์ด้วยแขนด้านเดียว แล้วยังโยนตัวผ่านบาร์ตลอดเป็นสิบครั้งได้อีกด้วย ไม่ทำให้คริสผู้เป็นผัวผิดหวัง เนื่องจากหัวข้อนี้คริสเป็นผู้อำนวยการผลิต แถมยังมารับบทสมทบในเรื่องด้วย กล่าวได้ว่าปฏิบัติภารกิจพ่อดันภรรยาตนเองแบบสุดๆ
แมทธิว ไรลีย์ ขณะดูแล เอลซา พาทากี
Interceptor หัวข้อนี้อาจจะกล่าวว่าเป็นหนังชนชาติประเทศออสเตรเลียก็ไม่ผิด เพราะว่าดาราหนังก็เป็นประเทศออสเตรเลียล้วนๆผู้กำกับ เขียนบท ก็ประเทศออสเตรเลีย แถมหนังก็ยังถ่ายทำกันในประเทศออสเตรเลีย ใช้ผู้แสดงหลักไม่ถึง 10 คน ฉากส่วนมากก็เป็นฉากด้านในห้องสั่งการ ใช้ทุนสร้างไม่เกิน 15 ล้าน ถ้าหากไม่มีหน้า คริส เฮมส์เวิร์ธ โผล่มา Interceptor ก็คือหนังเกรดบีเรื่องหนึ่ง ถ้าเกิดเป็นสมัยก่อนก็คือหนังที่สร้างลงดีวีดีนั่นแหละ
หนังยังคงสูตรสำเร็จของหนังแอ็กชัน ด้วยการเล่นกับวินาทีหวุดหวิดแบบเสี้ยววินาที ก็พอใช้ลุ้นหน่อยนึง เนื่องจากพวกเราก็รู้กันอยู่แล้วล่ะว่ายังยังไงก็ทัน หนังพอให้ความรื่นเริงใจได้ ไม่ถึงกับเสียเวล่ำเวลามอง แม้กระนั้นช่วงเวลาเดียวกันก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เส้นเรื่องคาดคะเนได้หมด มองไปทำโน่นทำนี่ไปได้ เดินไปจับของหวาน เข้าห้องสุขา กลับมามองต่อก็เข้าใจ