ซูเปอร์ฮีโรขอปลดเกษียณ ดีชั่วช้าสารเลวอยู่ที่ตัวทำ ปกติและก็เดาได้
เมื่อ 25 ปีกลายโลกมีแฝดเหนือมนุษย์ที่เลือกทางเดินคนละทางจนถึงจำต้องฟาดฟันกัน ฝั่งหนึ่งต้องการช่วยเหลือผู้คนแม้กระนั้นอีกฝั่งต้องการชำระแค้นสังคมที่เคยขับไล่ไสส่งพวกเขา การประจันหน้ากันตอนนั้นทำให้ฝั่งตัวร้ายตายแล้วก็ฮีโรฝั่งดีก็หายสูญไปนับตั้งแต่นั้น จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ผู้คนกรุ๊ปหนึ่งก็ยังเชื่อถือรวมทั้งตามหาเขาอยู่ตลอด
เป็นหนังที่น่าสังเกตนับจากมองเห็นหน้าหนังแล้ว เพียงแค่ว่าเป็นหนังของ สิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone) ยอดนักบู๊ในสมัยหนึ่งที่แม้ว่าจะโรยราแต่ว่าก็ยังส่งผลงานแนวแอ็กชันให้ได้ดูไม่ขาดอย่างปัจจุบันเป็น ‘Rambo: Last Blood’ (2019) ยิ่งพอเพียงหายจากหน้าจอไปยาวนานหลายปีแบบนี้ การกลับมาเลยน่าดึงดูดทุกหน แถมยังเป็นหนังพลอตซูเปอร์ฮีโรวัยปลดเกษียณในสมัยที่หนังฮีโรครองเมืองแบบนี้ก็ยิ่งน่าดึงดูด
หนังได้ผลสำเร็จการงานควบคุมของ จูเลียส เอเวอรี (Julius Avery) ที่เคยส่งผลงานเด่นแบบโหดเหี้ยมเข้มในหนังซอมบี้ทุ่งนาซีเรื่อง ‘Overlord’ (2018) ซึ่งแม้ว่าจะมิได้ขึ้นหิ้งแต่ว่าก็น่าจับตาให้ติดตามผลงานต่อไม่น้อย ยิ่งประเด็นนี้ได้มือเขียนบทอย่าง บราจี เอฟ. ยกต (Bragi F. Schut) ที่เคยส่งผลงานอย่าง ‘Escape Room’ ทั้งยัง 2 ภาค รวมทั้งโทรทัศน์ซีรีส์แฟรนไชส์ ‘Ninjago’ ซึ่งทำให้เห็นว่าเขาเป็นมือเขียนบทที่มีไอเดียที่เชื้อเชิญติดตาม ก็นับว่าน่าดึงดูดทีเดียวสำหรับการจับคู่กันคราวนี้
หนังดำเนินเรื่องผ่านสายตาของเด็กผู้ชายที่ชื่อ แซม แสดงนำโดยเจ้าหนู เจวอน ‘วอนที่นา’ วอลตัน (Javon ‘Wanna’ Walton) จาก ‘The Umbrella Academy’ ซึ่งเขาคลุ้มคลั่งใคล้ในเรื่องเล่าของสองญาติพี่น้องยอดมนุษย์แฝดนาม ซามาริทัน และก็ เนเมสิส จนกระทั่งก่อให้เกิดการแอบติดตามคนเก็บขยะแก่นามว่า โจ ที่น่าสงสัยว่าเป็นซามาริทันในสมัยก่อน
หนังปูพื้นเพเรื่องซูเปอร์ฮีโรนี้ให้พวกเราแต่แรกเริ่มผ่านบทเล่าเหมือนนิทานในสายตาของแซม ซึ่งดีตรงพวกเรารู้เรื่องมิตินักแสดงได้เร็ว อีกทั้งเงื่อนดราม่าว่าพวกเขาในวัยเด็กเคยถูกไม่ชอบจากผู้คนด้วยเหตุว่าพลังที่มากกว่าคนสามัญ จนกระทั่งทำให้เกิดการยืนขึ้นฮือขับไสแล้วก็จบด้วยความตายของคุณพ่อคุณแม่ของพวกเขาในเหตุอัคคีภัย ทำให้เนเมสิสเลือกทางที่จะชำระแค้นผู้คนรวมทั้งจำเป็นต้องปะทะกับซามาริทันที่เลือกทางช่วยเหลือผู้คน เสมือนสีขาวกับสีดำ จนถึงเนเมสิสได้สร้างอาวุธที่ความแค้นขึ้นมาเป็นค้อนซึ่งสามารถฆ่าซามาริทันได้ เอามาสู่ข้อสรุปแสนเศร้าหมองที่เนเมสิสตาย ส่วนซามาริทันก็เศร้าใจรวมทั้งล่องหนไปนับจากนั้น
การเอาเด็กมาจับคู่กับฮีโรปลดเกษียณที่อดีตกาลมีเงื่อนแล้วก็ปัจจุบันนี้ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของคนใดกันอีกแล้ว บางทีอาจไม่ใช่พล็อตใหม่มาก คิดไวๆก็บางทีอาจมุ่งมาดไปหนังดราม่าเข้มๆแบบ ‘Logan’ (2017) หรือถ้าเกิดไปทางหนังครอบครัวก็มีอีกหลายเรื่องเลยที่เพียงพอเทียบเคียงได้โดยแผลงไปทางอสูรกายบ้าง มนุษย์ดาวอื่นบ้าง ซึ่งยกตกับเอเวอรีก็รู้ๆกันอยู่พวกเขามีทางเลือกการนำเสนอล้นหลาม ให้เป็นหนังดราม่าเกี่ยวกับเรื่องคนวัยแก่ผ่านมุมมองของโจก็ได้ ให้ไปทางหนังแฟนตาซีชวนขันผ่านสายตาแซมก็ได้ หรือจะไปทางหนังซูเปอร์ฮีโรแฟชั่นระเบิดเถิดเทิงหรือธริลเลอร์เข้มข้นชักชวนตั้งข้อซักถามก็ได้ แม้กระนั้นสิ่งที่ผู้ผลิตประเด็นนั้นน่าดึงดูดทีเดียว
พวกเขามีธีมที่ต้องการพรีเซนเทชั่นอยู่ในเรื่องของอะไรเป็นสีขาวหรือสีดำ ทุกคนต่างมีเหตุมีผลสำหรับเพื่อการทำรวมทั้งจะต้องสารภาพผลปรากฏว่า มนุษย์ล้วนเทาและไม่ได้ยึดมั่นเฉดใดเฉดหนึ่งไว้กับตัวชั่วชีวิต ในช่วงเวลาหนึ่งเขาบางทีอาจเทาเข้มในตอนหนึ่งเขาบางทีอาจเทาอ่อนมากมายๆแล้วก็เมื่อหนังมีธีมแบบนี้มันก็เลยบางทีอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะเน้นย้ำศิลปินนักบู๊ที่ดูดราม่าได้แล้วก็มีความเก๋าให้คนเคารพยกย่องพอใช้อย่างสตอลโลน ซึ่งก็จะต้องเห็นด้วยว่าบารมีของพ่อเอ็งยังปฏิบัติงานเจริญสายตาซึมเซาๆนิ่งๆแต่ว่าน่านับถือยังแผ่ขยายออกมาจากการแสดงของมึงเจริญ เมื่อเข้าคู่กับศิลปินเด็กที่มาแนวดื้อรั้นดื้อรั้นแม้กระนั้นยังพอน่ารักก็ทำให้หนังมีเคมีที่ดีได้ ในแนวหนังดราม่าผสมแนวครอบครัวนิดๆ
รวมทั้งถึงแม้กลุ่มสร้างจะใช้แรงจูงใจจากหนังฮีโรไม่สวมชุดเกราะอย่าง ‘Unbreakable’ (2000) แม้กระนั้นมันก็มีฐานที่ไม่เหมือนกันที่หัวข้อนั้นเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (M. Night Shyamalan) เบาๆเชื้อเชิญให้ผู้ชมใคร่รู้แล้วก็สงสัยเต็มไปด้วยกลิ่นแบบคอมิกผสมธริลเลอร์ แม้กระนั้นในประเด็นนี้ทุกๆอย่างมันเด่นชัดพอเหมาะ ทำให้ผู้ผลิตเองก็ต้องหาอะไรมาดึงความพอใจเพิ่มซึ่งมันยังไม่ดีพอเพียง
แม้ว่าจะมีลักษณะเด่นที่ก็ดีอีกทั้งธีมและก็เคมีดารา แม้กระนั้นปัญหาที่มีเป็นหลายแบบมันมองฝ่าฝืน ยิ่งวางแบบของนักแสดงฮีโรในชุดเกราะเหล็กที่ว่ากันตามจริงมันโบราณแล้วก็เชยมากมายอย่างกับไปลอกฮีโรคนดำเรื่อง ‘Steel’ (1997) มายังยังไงแบบนั้น การผลิตอาวุธค้อนที่พล็อตเสมือนแหวนของเซารอนก็มองเป็นอะไรที่แออัดเข้ามาแบบไม่กลืนกับเรื่องแถมไม่เท่อีก พลังของยอดมนุษย์ก็มีเพียงแค่พลังเหนือมนุษย์กับความอึดและก็ฟื้นได้ไวมันปกติอย่างมากในด้านภาพ พวกนี้เป็นจุดบกพร่องเมื่อตรึกตรองว่ามันวางตัวเป็นเลิศในหนังฮีโรยุคตอนนี้อันมองเห็นได้จากออกแบบฉากแอ็กชันและก็การดำเนินเรื่องต่างๆ
หนังยังพึ่งจุดหักเหเพื่อขยายธีมของมันอย่างยิ่งเกินความจำเป็น รวมทั้งดันพลาดด้วยที่ฝ่าฝืนพากเพียรสำหรับในการแอบซ่อนบางสิ่งมากเกินพอดิบพอดีจนกระทั่งแปลงเป็นพิรุธให้ผู้ชมเกิดคาดทายใจได้ทัน ทำให้พลังในตอนเฉลยคำตอบเงื่อนบางสิ่งไม่ทำงานเหมือนอย่างที่คิด และก็แทนที่จะหนังจะใช้งานเพื่อเล่นถัดไปทางดราม่าให้หนักขึ้น ปรากฎหนังก็ทิ้งดราม่าที่อุตส่าห์สร้างมาแล้วไปเล่นทางหนังแอ็กชันเสียแทนในขณะที่เงื่อนความรู้สึกชัดถกเถียงระหว่างดารานำชายและก็ตัวร้ายนั้นมองน่าดึงดูดทีเดียว เสมือนจะรีบเพื่อไปสู่ฉากจบที่คิดไว้ว่าจะเป็นผลสรุปที่เท่สุดๆแต่ว่ามันไวและก็ง่ายไปหน่อย
มองจากจุดเด่นของหนัง จริงแล้วมันควรจะอับอายขายหน้าหนังว่าจะเล่นดราม่าแล้วก็อยากขายความเชยอย่างตั้งใจเพื่อยกขณะที่ทอดยาวแล้วก็ย้ำไปที่ธีมความไม่ลงรอยกันเชิงความนึกคิดเรื่องดีเลวทรามผ่านตัวพระเอกรวมทั้งตัวร้าย บางทีก็อาจจะเล่าผ่านสายตาเด็กเพื่อหนังมองซอฟต์ลง แต่ว่าที่มันพลาดเป็นหน้าหนังมันไม่ชัดเจนแบบเหยียมแคมเรือฝั่งซูเปอร์ฮีโรแบบตลาดนิยมด้วยฉากระเบิดอาคารเผาเมืองไว้ด้วยนั่นเอง