การสู้รบเทวดาสิ่งที่เป็นนามธรรม ของกินสมอง สยองขวัญ หากคนใดกันแน่ถูกจริตนี่เป็นเพชรเม็ดสวย
ผู้เล่าเรียนเวทมนตร์คาถาในอังกฤษรวมตัวกันเชิญ มรณะ เทวดาที่ความตายมากักขังเพื่อจะได้ข่มขู่บังคับให้รู้สึกตัวชีพผู้เป็นหวานใจกลับมา ถ้าเกิดแม้กระนั้นข้อผิดพลาดได้ทำให้เทวดาอีกตนถูกคุมขังไว้แทน โน่นเป็น นิมิต เทวดาที่ความฝันเมื่อเหล่าจอมเวทมนตร์คาถามิได้สิ่งที่มีความต้องการก็เลยฉกฉวยอาวุธของนิมิตเอามาใช้ประโยชน์แทน โลกทั้งยังใบเมื่อไร้ความฝันก็ทำให้บางบุคคลไม่บางทีอาจหลับรวมทั้งบางบุคคลไม่บางทีอาจตื่น แล้วก็ที่สำคัญเมื่อไร้ผู้ดูแลเหล่าภูติผีความฝันก็เลยหนีออกมายังโลกมนุษย์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝันร้ายนาม วัวรินเธียน ผู้ประทับใจการฆ่าคน เป็นหน้าที่ของนิมิตหรือแซนด์แมนที่ต้องหาทางหนีจากการควบคุมขังรวมทั้งรักษาสมดุลของโลกอีกที
‘The Sandman’ ผลงานของ นีล ไกแมน (Neil Gaiman) เป็นกราฟิกโนเวลไม่กี่เรื่องที่ได้รับการชมเชยให้ติดอันดับหนังสือขายดิบขายดีของ New York Times อีกทั้งถูกเรียกว่าคอมไม่กของเหล่าบัณฑิต กระทั่งแปลงเป็นหนังสือคู่มือของหลายสำนักเดินคู่กับผลงานขึ้นหิ้งอย่าง ‘Watchmen’ ของอลัน มัวร์ (Alan Moore) แล้วก็ ‘The Dark Knight Returns’ ของ แฟรงก์ ไม่ลเลอร์ (Frank Miller)
บางทีอาจด้วยได้ผลงานที่เน้นย้ำเด็กโตจนกระทั่งคนแก่มากยิ่งกว่า มันก็เลยขับเน้นย้ำด้วยเรื่องราวของปรัชญาและก็การต่อสู้ของเหล่าสิ่งที่เป็นนามธรรมที่กระทบมาถึงโลกมนุษย์ รวมทั้งด้วยการพิมพ์ลงในหัวหนังสือของ Vertigo Comics ค่ายสายมืดย้ำโหดเหี้ยมของสถานที่พิมพ์ DC ที่ส่งผลงาน เป็นต้นว่า ‘Hellblazer’ (หรือรู้จักดีในชื่อ ‘John Constantine’) ด้วยแล้ว กล่าวแบบงี้ก็คงจะเพียงพอจับโทนของ ‘The Sandman’ ได้บ้างว่ามันจะไม่ใช่หนังหรือนิยายภาพแนวซูเปอร์วีรบุรุษตีกันแบบความนิยมจากที่ใครซักคนคาดหมายแน่นอน
แต่ว่าถ้าหากคุณกำลังมองหาอะไรที่เชิญให้สมองได้ขบคิดเยอะมากๆผ่านภาพแฟนตาซีสุดติ่งจินตนาการอย่างใน ‘Watchmen’ หรือต้องการหาแนวดาร์กแฟนตาซีน่ากลัวอีกทั้งด้านภาพและก็รายละเอียดที่เปิดส่วนดำมิดหมีของผู้คนออกมาได้น่าสะพรึงกลัวมากกว่าผีห่าภูตผีปีศาจ อย่างใน ‘Black Mirror’ นี่เป็นเรื่องที่คุณจะต้องชื่นชอบอีกหนึ่งเรื่อง
‘The Sandman’ เปิดหัวได้อย่างน่าดึงดูดมากมายๆหากแม้พวกเราเคยอ่านพล็อตแล้วก็เล็กน้อยของฉบับคอมไม่กที่เริ่มด้วยพิธีการเชิญของพวกจอมเวทจนถึงแอบกลัวว่าภาพมันจะออกมาเชยเกินความจำเป็นไหม แต่ทว่าเอาเข้าจริงทั้งยังงานซีจีแล้วก็การออกแบบศิลปย้อนยุคไปราวปี 1900 ต้นๆทำเป็นงามมากมาย และก็การใช้เสียงนำเสนอของตัวนำที่แสดงนำโดย ทอม สเตอร์ริดจ์ (Tom Sturridge) เองก็มองขลังลึกลับน่าติดตามดี บทสำหรับพูดก็เชิญชวนให้ต้องการรู้เหตุว่าเทวดาที่เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมตัวอย่างเช่น นิมิต (ความฝัน ดรีม มอร์เฟียส แซนด์แมน หรือเจ้าที่ฝันร้าย มีชื่อเรียกนานาประการ) นั้นมีความคิดเช่นไร
เขามองดูมนุษย์ที่รังแกเขายังไง สนองตอบต่อความอยากได้ไม่มีส่วนลึกของคนเราที่ถึงแม้ทราบดีว่าจับเทวดามาไม่ถูกองค์แต่ว่าก็ยังต่อรองขอคุณประโยชน์อื่น อาทิเช่น ความมั่งมีและไม่แก่ไม่ตายแทนอย่างไร้ความละอายใจได้เช่นไร ยิ่งได้ขับย้ำผ่านการนำเสนอความเฉยเมยแม้กระนั้นมองรูปหล่อ แล้วก็ถ่ายทอดความหวั่นไหวในใจผ่านดวงตาของสเตอร์ริดจ์ก็เชื้อเชิญให้ระลึกถึง โรเบิร์ต แพตทินสัน (Robert Pattinson) ในบางมุม คงจะมีสาวโดนตกอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ที่สำคัญตัวเรื่องราวมิได้เดินไปแบบเส้นตรงได้แก่ ขาวหรือดำ ธรรมหรืออธรรม มันเต็มไปด้วยความย้อนยอกต้มตุ๋น ผู้แสดงมนุษย์ในเรื่องแต่ละตัวต่างเทาๆมีกิเลสบางสิ่งบางอย่างส่งผลผลดีที่ถือสิทธิ์รวมทั้งพร้อมจะรังแกคนอื่นด้วยเหตุผลที่ฟังดูดีได้ ที่ตรงนี้ทำให้พวกเรามองไปแล้วก็คิดพินิจพิจารณาว่าพวกเขามีกำลังขับทางด้านจิตวิทยาอะไรที่ทำให้เลือกตกลงใจอย่างงั้น แล้วก็หลายหนพวกเราพบว่ามันเป็นการพรีเซนเทชั่นมนุษย์ที่เสมือนจะไม่มีตรรกะ แต่ว่าดันเหมือนจริงเอามากๆทีเดียวเพราะเหตุว่าหัวใจมนุษย์ยากแท้เข้าใจเป็นธรรมชาติ ที่ตรงนี้ทำให้ซีรีส์เต็มไปด้วยความน่าดึงดูดใจและก็น่าคลั่งไคล้อย่างยิ่ง
เเนื้อหาของซีรีส์บางทีอาจแบ่งเป็นส่วนมากๆได้หลายส่วน ทีแรกๆในระหว่างที่ 1-5 หรือกลางทางของซีซัน เป็นการถูกจองจำของนิมิตแล้วก็การเดินทางทวงคืนพลังของเขาที่ถูกซุกซ่อนในสถานที่ต่างๆทำให้พวกเราได้เจอนักแสดงใหม่ๆตัวซีรีส์เบาๆให้พวกเราได้ทำความเข้าใจไปขณะเดียวกันนี้ว่าภูมิหลังของโลกในเรื่องประกอบไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติใดบ้าง
พวกเราได้เจอเทวดาโชคชะตาที่ปรากฏเป็นรูปลักษณ์ของหญิง 3 นาง พวกเราท่องไปในดินแดนที่ฝันรวมทั้งเจอเหล่าความฝันคนรับใช้นิมิตที่มีอีกทั้งสุภาพเรียบร้อยและไม่เชื่อฟัง พวกเราท่องไปในแดนนรกอันน่าระแวงรวมทั้งทนทุกข์ทรมานของลูสิเฟอร์รวมทั้งได้มองเห็นสมัยก่อนเล็กน้อยของนิมิต รวมทั้งที่สุดพวกเราได้มีความคิดเห็นว่าจิตใจอันบริสุทธิ์ของคนเราสามารถสร้างบาปได้มากแค่ไหน
ที่เสนอแนะเลยเป็นในขณะที่ 4 ที่นิมิตจำต้องเจอกับลูสิเฟอร์รวมทั้งจำต้องทดสอบกัน ถ้าหากเป็นซีรีส์อื่นพวกเราคงจะได้มองเห็นฉากสู้กันสุดตระการตาปลดปล่อยพลังกันราวทำลายโลก แต่ว่าในซีรีส์นี้กลับเสนอการต่อสู้กันด้วยวาจาแล้วก็ความนึกคิดที่แยบคาย เต็มไปด้วยปรัชญา ในเวลาเดียวกันก็เฉลี่ยวฉลาดพอที่จะใช้วิสัยทัศน์ด้านภาพที่เชิญชวนลุ้นระทึก ยิ่งใหญ่ ไม่แพ้การบู๊ผลาญมันๆเลย
เวลาที่ตอน 5 ซีรีส์กลับการเล่าเรื่องไปอีกในลัษณะหนึ่งจนกระทั่งเกือบจะตั้งตัวไม่ติด แม้กระนั้นเอาจริงเอาจังมันดีแล้วก็ฉลาดมากจริงๆ เมื่อแปลงมุมมองการเล่าเรื่องมายังผู้แสดงมนุษย์อย่าง จอห์น ผู้ถูกพูดปดมาตลอดชีวิตรวมทั้งชิงชังคำโป้ปดอย่างยิ่ง จนถึงเมื่อเขาได้พลังของนิมิตมาในถือครองเขาก็ทดสอบการผลิตโลกที่ไม่มีคำลวงออกมา ผ่านการนำเสนอเหตุการณ์ที่เสมือนหนังสั้นชั้นเลิศ ที่ทั้งยังตื่นเต้นสั่นประสาท รวมทั้งเชื้อเชิญคิดไม่น้อย เป็นอีกในตอนที่เสนอแนะเลยว่าจำต้องมอง
แล้วตอนที่ 6 น่าจะเป็นตอนเดียวที่เสมือนมากั้นเพื่อแปลงผ่านเรื่องราวไปสู่องก์ใหม่ ได้มองเห็นมุมมองความเจริญที่แปรไปของนิมิตผ่านช่วงหลายร้อยปีได้อย่างน่าดึงดูด ทั้งได้มองเห็นประเด็นที่ว่า นิมิต เป็นทั้งยังความฝัน ความคาดหวัง ความจำ และก็เรื่องเล่า จินตนาการ สุดแล้วแต่จะมองดูในทางใด เหมือนกันกับที่เปรียบเทียบความตายได้นานัปการมุมมอง เป็นตอนที่ราวกับหนังสั้นดีๆอีกตอนหนึ่ง
รวมทั้งในขณะที่ 7-10 ซีรีส์ก็กลับมาสู่เรื่องราวของปัญหาใหญ่ครั้งใหม่ที่ขมวดเก็บเนื้อเก็บตัวละครต่างๆที่ยังทิ้งค้างไว้ได้อย่างงดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้แสดงวัวรินเธียนที่รออยู่ในเงามืดแล้วก็แอบแทงข้างหลังนิมิตอยู่เสมอมา อีกทั้งมีการเสนอที่น่าระทึกใจ ตัวอย่างเช่น ฉากงานประชุมสัมมนาฆาตกรโรคจิตจากทั่วอเมริกาที่สุดประหลาด แล้วก็ทำให้เห็นกระจ่างเจนไปเลยว่านี่เป็นซีรีส์ที่สร้างมาสำหรับคนแก่ไปเลย
โดยสรุป จะต้องกล่าวว่าเวลาที่เน็ตฟลิกซ์ประกาศปั้นเรื่องนี้ ในใจก็เป็นห่วงว่าจะเป็นยักษ์ล้มที่ปีหรือเปล่า เพราะว่ามองจากคอมิกแล้วเกิดเรื่องที่ปรับเปลี่ยนได้โคตรยากอีกหนึ่งเรื่องเลยมีปัญหาที่จำต้องตีปัญหาให้แตกเยอะแยะ ตั้งแต่ออกแบบผู้แสดง ความยากและก็ลึกของบทสำหรับพูดต่างๆการถ่ายทอดสิ่งที่เป็นนามธรรมออกมาเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมอีก
แต่ว่าภายหลังมองจริง ยิ่งแต่ละตอนผ่านไป ยิ่งรู้สึกตื่นตาตื่นใจแล้วก็ยกย่องกับความอาจหาญเสนอของหัวข้อนี้ แม้ว่าจะมีความเพียรพยายามเสนอความมากมายเสมอภาคทางเพศรวมทั้งสีผิวที่เน็ตฟลิกซ์ถูกใจแออัด แม้กระนั้นก็กลืนได้เนียนตารู้สึกมีเหตุผลกว่าเรื่องอื่นๆรวมทั้งเมื่อมองจบก็กล้ากล่าวเลยว่านี่เป็นอีกคอนเทนต์เรือธงที่เน็ตฟลิกซ์ควรจะต่อยอดถัดไปให้ดีๆ
และอาจจำต้องออกสตาร์ทย้ำไว้อีกว่าซีรีส์นี้ส่วนดีนั้นมีมากมาย แต่ว่าก็มีจุดด้วยอยู่แบบเดียวกัน อีกทั้งการเลือกดาราหนังของบางผู้แสดงที่มองไม่ค่อยเข้านัก ซีจีบางจุดยังเก็บไม่ค่อยเยี่ยมถึงแม้ภาพรวมทำเป็นดี เสน่ห์ของผู้แสดงนำบางทีอาจยังไม่ชัดเจนมากมายไปเด่นตัวอื่นๆเสียมากกว่า แล้วก็ข้อสำคัญเป็นนี่ไม่ใช่ซีรีส์แนวเอาอกเอาใจตลาด แม้กระนั้นตอบปัญหาเฉพาะกรุ๊ปเสียมากกว่า โดยเหตุนี้ในที่สุดแล้วถ้าเกิดความชื่นชอบโดยรวมน้อยเกินไปให้พามีซีซันถัดไปก็เกิดเรื่องรู้เรื่องได้ แต่ว่าก็โชคร้ายอย่างมากด้วยเหมือนกัน โลกพวกเราควรจะมีรสขมที่มีประโยชน์กับสมองรวมทั้งหัวใจอย่างงี้เอาไว้ภายในวันที่เบื่อรสหวานมันบ้าง