ตระการตาแฟนตาซีในแบบที่ไม่มีมานาน แม้กระนั้นยังกั๊กไปหน่อย
ตำนานที่ช่วงที่ 2 ของดินแดนปานกลางโลกที่ยังไม่เคยถูกเล่าถึง เกิดขึ้นนับย้อนไปหลายพันปีกลายเรื่องใน ‘The Hobbit’ รวมทั้ง ‘The Lord of the Rings’ เป็นระยะเวลาที่จอมมารพ่ายแล้วก็หายสาปสูญ เหล่าเอลฟ์ มนุษย์รวมทั้งเชื้อสายอื่นต่างดูไปด้านหน้าเพื่อสร้างสมัยที่เจริญอีกรอบ แต่ว่าความชั่วอีกทั้งเก่าก่อนแล้วก็กำเนิดใหม่ยังเร้นกายคอยการหวนกลับ นี่เป็นขณะสำคัญสำหรับเพื่อการก่อเกิดแหวนครอบครองภิโลกที่พวกเราเคยชิน
ซีรีส์ ‘The Lord of the Rings: The Rings of Power’ ถูกหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นผู้นำกองทัพเรือธงแฟนตาซีของฝั่ง Amazon Prime Video ที่มองตั้งมั่นเอามาชนกับซีรีส์แฟนตาซีธีมยุคกลางซึ่งปรับเปลี่ยนจากหนังสือแล้วก็มีระบุฉายในปีนี้สิ่งเดียวกันของแพลตฟอร์มอื่น อย่าง ‘House of the Dragon’ ของ HBO Go, ‘The Witcher: Blood Origin’ ของทาง Netflix รวมทั้ง ‘Willow’ ของ Disney+
มองจากชื่อชั้นแต่ละเรื่องก็พอวัดพอเหวี่ยงกันดีทีเดียว ต่างมีจุดเด่นข้อด้อยที่ก็บางทีอาจเป็นชั้น 1 ในทางของตนได้ทั้งนั้น แต่ว่าถ้าหากวัดจาก 2 ทีแรกๆของ ‘The Rings of Power’ ที่ปลดปล่อยออกมาขึ้นต้นก่อนที่จะทยอยฉายอาทิตย์ละต่อมาจากนี้ ก็จำต้องพูดว่าในด้านหนึ่งหัวข้อนี้อาจผิดจิตใจบางบุคคลนัก แต่ว่าช่วงเวลาเดียวกันก็จะลำพองใจคนอีกกรุ๊ปใหญ่ไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน
ด้อยแม้กระนั้นก็เนื่องจากทราบข้อจำกัดของตัวเอง
ในแง่ด้อย ถ้าเกิดกล่าวในเชิงเปรียบเทียบกับ ‘House of the Dragon’ ซึ่งออกมาก่อนและก็อีกทั้ง 2 เรื่องเกิดเรื่องราวหลายร้อยหลายพันปีกลายหน้าแฟรนไชส์หลักเช่นเดียวกัน อันเพียงพอจะอิงเทียบเคียงให้เห็นภาพชัดขึ้นได้ จำเป็นต้องพูดว่า ‘The Rings of Power’ ยังมีความบีบคาดคั้นของการเล่าเรื่องให้ติดหนึบน้อยกว่าอีกหนึ่งเรื่อง
อีกทั้ง 2 หัวข้อต่างใช้ประโยชน์จากจักรวาลที่แข็งแรงในซีรีส์หรือหนังที่เคยฉายมาก่อนหน้า (และก็บางทีอาจรวมทั้งหนังสือนวนิยายที่เป็นที่ชื่นชอบ) ทำให้ไม่อยากคำชี้แจงปูมบางสิ่งให้มากเรื่อง แม้กระนั้น ‘The Rings of Power’ ใช้จักรวาลจากปลายปากกาของ เจ.อาร์.อาร์ โทลคีน (J.R.R. Tolkien) ที่ใหญ่มากยิ่งกว่าในเชิงพื้นที่รวมทั้งนักแสดง มันก็เลยจำต้องเสียเวล่ำเวลากว่า 2 ตอน รวมเวลากว่า 2 ชั่วโมงไปกับการปูภูมิหลังของผู้แสดงใหม่ๆเป็นจำนวนมากกว่าจะครบ
รวมทั้งเบื้องหลังของมิดเดิลเอิร์ธ หรือ กลางโลกในสมัยที่ 2 เกิดเรื่องราวข้างหลังการแพ้ของจอมยักษ์มอร์กอธที่เป็นนายจ้างของเซารอน แล้วก็ยังมิได้เกิดแหวนทั้งยัง 20 วงขึ้น หากแม้มันจะเคยถูกเอ่ยถึงอย่างบางเบามากมายๆในแฟรนไชส์หนัง แต่ว่าก็นับว่ายังเกิดเรื่องสดใหม่ประหลาดตาสำหรับผู้ชมที่มิได้เป็นแฟนเดนตายจากหนังสือนัก เอาเพียงแค่ว่าปูเรื่องใหม่นี้ถึงจะย่อยให้เข้าใจง่ายมากมายแล้ว ก็เล่นเอาจำนักแสดงเมื่อยล้า
เส้นเรื่องนานัปการทั้งยังเริ่มแรกรวมทั้งเติมแต่งใหม่
พวกเราจะได้พบหลากเส้นเรื่องที่เดินไปพร้อม โดยฝั่งเอลฟ์จะมีเส้นเรื่องของ กาลาเดรียล และก็ เอลรอนด์ ในวัยเอ๊าะๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นราชินีและก็ผู้นำกองทัพของเอลฟ์ในฉบับหนังตรีภาค (ผู้แสดงที่เคยแสดงโดย เคท กางลนลานเชตต์ (Cate Blanchett) รวมทั้ง ฮิวโก วีฟวิง (Hugo Weaving))
โดยกาลาเดรียลในสาว (สวมบทโดย มอร์ฟิด คลาร์ก (Morfydd Clark)) ยังคงมั่นใจว่าเซารอนมิได้ตายไปตามนายของมัน แล้วก็คุณยังออกตามล่าชำระแค้นให้พี่ชายที่ถูกเซารอนฆ่า โดยไม่สนใจคำท้วงติงของเอลฟ์ตนอื่นที่มั่นใจว่าเซารอนตายแล้วในขณะนั้นแล้วก็ละเลยให้คุณเริ่มเดินทางโดยลำพัง
ส่วนเอลรอนด์ (สวมบทบาทโดย โรเบิร์ต อะรามาโซ (Robert Aramayo)) เอลฟ์ลูกครึ่งมนุษย์ได้รับมอบหมายภารกิจจากราชาเอลฟ์ให้จำต้องเดินทางไปรู้สึกตัวสมาคมกับเพื่อนเก่าที่เป็นราชาคนเล็กแกร็นนาม มองริน ที่นครใต้ผืนปฐพี เพื่อช่วยทำให้ฝั่งเอลฟ์สามารถสร้างข้าวของสำคัญอย่างหนึ่งขึ้นมาได้
ทางฝั่งขอบเมืองมนุษย์ที่มีป้อมระวังภัยของเอลฟ์รอระวังภัยจากจอมมาร ทหารเอลฟ์ผิวดำนาม เอรอนเดอร์ (เล่นบทโดย อิสมาเอล อาจารย์ซ คอร์โดวา (Ismael Cruz Cordova)) ได้รับคำบัญชาให้ถอนกำลังออกเนื่องจากไม่เจอสัญญาณของพวกอสุรีมานานมาก แม้กระนั้นเขากลับมีภาระทางจิตใจให้กับมนุษย์หญิงหม้ายลูกติดนาม บรอนวิน (สวมบทโดย องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ(สหรัฐอเมริกา)นิน บอนิอาดี (Nazanin Boniadi)) อยู่ทำให้ตัดใจจากไปยากลำเค็ญ
แต่ทว่าขณะเดียวกันนั้นก็กำเนิดอาเพศขึ้นหลายสิ่งหลายอย่างในหมู่บ้านเป็นสัญญาณถึงการกลับมาของพวกออร์ก ซึ่งเป็นข่าวสำคัญที่จำเป็นต้องรีบแจ้งเตือนดินแดนอื่น และก็ทำให้ทางชีวิตของเอรอนเดอร์รวมทั้งบรอนวิน รวมทั้ง ธีโอ ลูกชายของบรอนวินจำเป็นต้องแปรไปตลอดไป
นอกนั้นพวกเรายังจะได้รับรู้ว่าฮอบบิตเองก็มีหลายเชื้อสาย ก่อนหน้านี้ทั้งยังโฟรโดแล้วก็ใบเสร็จรับเงินโบล้วนแล้วแต่เป็นเผ่าที่ชื่อว่าฟอลโลไฮด์ส ซึ่งย้ายถิ่นมามิดเดิลเอิร์ธในตอนหลัง ส่วนเผ่าฮอบบิตกรุ๊ปใหญ่ที่มาตั้งถิ่นฐานในมิดเดิลเอิร์ธก่อนนั้นเป็น ฮาร์ฟุตส์ พวกเราจะได้ติดตามเด็กชาวฮาร์ฟุตนาม โนริ (รับบทบาทโดย มาร์เคลลา ติดอยู่เวนาจ์ (Markella Kavenagh)) กับ ป็อปปี ที่ราวถอดบุคลิกลักษณะมาจากโฟรโดกับแซมเช่นไรแบบงั้น
โนริใฝ่ฝันที่จะออกไปเผชิญภัยโลกกว้างไม่ถูกนิสัยของพวกฮาร์ฟุตส์ศูนย์รวมกรุ๊ปไม่แตกแถว จนถึงวันหนึ่งโนริก็เจอดาวตกลงมาจากฟ้าและก็ทำให้เจอกับชายปัญหาผู้ไม่มีความจำ (เล่นบทโดย โจเซฟ มาว์ลี (Joseph Mawle)) ที่จะพาคุณออกไปจากวิถีชีวิตเดิมชั่วกัลปวสาน
นี่เป็นเรื่องราวเพียงแค่ปูผู้แสดงแต่ละกรุ๊ปที่จะพาไปประกอบภาพใหญ่ของเรื่องราว จะมีความคิดเห็นว่ามีตัวละครแล้วก็ความเกี่ยวเนื่องเกิดมากมาย มีการจับใช้จากหนังสือของโทลคีนก็ไม่น้อย แม้กระนั้นมากมายเยอะแค่ไหนก็อาจน้อยเกินไปรวมทั้งรู้เรื่องได้ถ้าแฟนเดนตายของตัววรรณกรรมจะคิดว่าคงจะมีอันนั้นอันนี้เพิ่มเติม และก็อาจมีหลักสำคัญเรื่องของผู้แสดงที่แต่งขึ้นมาใหม่ปรากกตัวเป็นครั้งแรกก็เหมือนกันที่อาจเป็นใจความสำคัญเอ๋ยถึงได้อีกมากมาย แต่ว่าข้อตกลงของเวลาแล้วก็งบประมาณกับการควบคุมเรื่องราวให้อยู่หมัดก็คือสาเหตุที่รู้เรื่องและก็เห็นอกเห็นใจกลุ่มสร้างได้เช่นเดียวกัน
ก็ดีแม้กระนั้นยังติดกั๊ก เชื้อเชิญมุ่งมาดในช่วงเวลาที่เหลือ
แม้กระนั้นจุดเด่นคือผู้กำกับ เจ.เอ. บาโยนา (J.A. Bayona) จาก ‘The Impossible’ (2012) แล้วก็ ‘A Monster Calls’ (2016) ซึ่งเขาเด่นในทางดราม่าและไม่หวาดกลัวงานซีจียากๆมากำกับ 2 ช่วงแรกก็ทราบจุดเด่นดีว่า ‘The Lord of the Rings’ มันเกิดเรื่องราวเพื่อปลุกหัวใจที่การเสี่ยงภัยแบบเริ่มแรก โดยมีธีมคลาสสิกอย่างธรรมชนะอธรรมที่บางทีอาจเปรียบเทียบถึงธรรมชาติด้านในของคนเราได้บ้าง ไม่มีความสำคัญเลยที่จะจะต้องไปมีบทพูดดราม่าคร่ำเคร่งหรือมืดหมองลึกซึ้งอย่างความนิยม แต่ว่าก็ร่ำรวยในภาษาแล้วก็ความสวยสดงดงามตามแบบวรรณกรรม
เขาเลยมุ่งสำหรับเพื่อการสร้างภาพจินตนาการให้ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยวางแบบนักแสดงหลายเชื้อสายที่น่าดึงดูด วิสัยทัศน์ที่ตะลึงงันพรึงพริ้งเพริศ อย่างนครที่แสงสว่างของเอลฟ์หรือเหมืองใต้ดินของคนแคระแกร็น แล้วก็อสูรกายที่น่าจำ ไม่ว่าจะยักษ์บนยอดกำแพงเทือกเขาที่เป็นน้ำแข็ง ไปจนกระทั่งอสูรกายในสมุทรอันดำสนิท ที่สำคัญแล้วก็ทำเป็นดีเยี่ยมเป็นโปรดักชันสำหรับเพื่อการเสนอนั้นไม่มีกระเหม็ดกระแหม่ เป็นโปรดักชันระดับหนังบล็อกบัสเตอร์ที่เชิญเสียดายไม่น้อยที่มิได้รับดูบนจอภาพยนตร์ แถมยังจัดหนักด้วยภาพระยะกึ่งกลางและก็ระยะไกลแบบไม่กลัวว่าจำต้องหลอกมุมซีจีอะไรเลย เป็นวิจิตรตระการตาเต็มตามากมาย เพียงพอรวมกับเรื่องราวที่เรียบง่ายรู้จักดี รวมทั้งดนตรีที่เรียบเรียงมาอย่างบรรจง
มันก็เลยเป็นซีรีส์แฟนตาซีที่ทำหัวใจพวกเราพองโตได้ตลอดระยะเวลาการรับดู และก็สำเร็จงานที่ไม่มีพิษมีภัยรับดูได้อิ่มเอมอีกทั้งครอบครัวอย่างที่ไม่ค่อยรู้สึกมานานแล้ว
และก็แม้ว่าจะมองไม่ค่อยมีอะไรให้สลับซับซ้อน แม้กระนั้นผู้กำกับบาโยนาก็ยังเก่งสำหรับในการฮุกหผูกหนักๆด้วยฉากเล็กๆที่ชนดวงใจได้ อย่างที่เขาเคยทำในฉากไดโนเสาร์คอยาวร่ำร้องบนเกาะที่กำลังล่มสลายใน ‘Jurassic World: Fallen Kingdom’ (2018) มาแล้ว พวกเราบางทีอาจแอบน้ำตาซึมให้กับฉากบอกรักแบบคนดึงดันของเอลฟ์ผิวดำหรือฉากทำความเข้าใจระหว่างสหายต่างเชื้อสายได้เลย
แม้กระนั้นแม้ว่าจะมีจุดแข็งหลายชนิดที่เด่นในทางแฟนตาซีมองสนุกสนานได้อีกทั้งครอบครัว แต่ว่าก็ยังไม่บางทีอาจกล่าวได้ว่าดีสุดๆด้วยเหตุว่า 2 ช่วงแรกตั้งเป้าหมายสำหรับเพื่อการวางฐานความรู้ความเข้าใจให้เยอะที่สุดก่อนที่จะพาไปอินกับการดำเนินเรื่องจริงถัดไป ฉะนั้นมันเลยมีความกั๊กอยู่มากมาย โดยยิ่งไปกว่านั้นฉากแอ็กชันที่เปิดตัวอสูรกายแต่ละทีมีได้ลุ้น แม้กระนั้นเอาจริงเอาจังก็มิได้มีฉากสู้มันๆตระการตาให้ดังที่หวังเท่าไรนักอย่างโชคร้าย บางทีอาจเพราะว่าจำเป็นต้องทำเวลาสำหรับการเล่าหรือเปล่าต้องการรีบแผนภูมิความระทึกใจให้สูงมากมายแต่เดิม
อาจจะจำเป็นต้องรอดูถัดไปว่าเวลาที่เหลือที่จะเปลี่ยนมือผู้กำกับไปเป็น เวย์น ยิป (Wayne Yip) ที่เคยผ่านงานซีรีส์แนวแฟนตาซีมาหลายเรื่องอาทิเช่น ‘The Wheel of Time’ (2021) รวมทั้งผู้กำกับหญิง ชาร์ลอตต์ แบรนด์สระทม (Charlotte Brändström) ที่เคยผ่านงานซีรีส์ ‘The Witcher’ (2019) ซึ่งจะมาทำตอนจบท้ายของซีซันแรกนั้น ทั้งสองจะมีแนวทางการเล่าเรื่องแบบไหน หากเลิกกั๊กแล้วก็ใช้พลังของซีจีประสิทธิภาพสูงที่สนับสนุนอยู่ได้เข้มข้น คงจะเหิมใจคอแฟนตาซีที่โตขึ้นด้วยไม่ใช่แค่ลักขโมยหัวใจพวกเด็กๆอย่างที่เปิดตัวมา